อภิสิทธิ์หนุนใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ลดปัญหาลิขสิทธิ์

รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 7/2552 ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และปลัดกระทรวงจากทุกกระทรวงเข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้หารือแนวทางการสนับสนุนการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างถูกต้อง โดยเน้นให้ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ และลดค่าใช้จ่าย ซึ่งประเด็นนี้กระทรวงศึกษาธิการมีโครงการจะซื้อคอมพิวเตอร์ 1.4 ล้านเครื่อง หากได้งบประมาณไทยเข้มแข็ง 2 ถ้าใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส จะประหยัดงบประมาณได้มหาศาล

โดยกระทรวงไอซีทีจะเร่งดำเนินการทั้งการส่งเสริมซิป้าจัดการเรื่องซอฟต์แวร์ โอเพนซอร์ส และจะของบประมาณไทยเข้มแข็ง 2 ประมาณพันล้านบาท เพื่อขยายโครงข่ายจีไอเอ็นให้ลงลึกถึงระดับอำเภอ จากปัจจุบันเชื่อมโยงถึงแค่ระดับจังหวัดเท่านั้น

Firefox ติดโผบราวเซอร์ ช่องโหว่เพียบ

ายงานข่าวนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนแปลกใจเล็กน้อย นั่นก็คือ บราวเซอร์ไฟร์ฟอกซ์ (Firefox) กลายเป็นบราวเซอร์ที่มีช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัยมากที่สุดในปี 2009 โดยมีช่องโหว่ที่พบมากถึง 44 แห่งเทียบกับ 6 แห่งของซาฟารี (Safari) และแค่ 2 แห่งในโอเปร่า (Opera) โดยบริษัทที่จัดทำรายงานดังกล่าวชื่อว่า Bit9

บรรทัดฐานที่ใช้ในการจัดอันดับความไม่ปลอดภัยครั้งนี้มีอยู่ว่า โปรแกรมที่ใช้ในการพิจารณาจะต้องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows และต้องมีการพบช่องโหว่ของระบบรักษาความปลอดภัยอย่างน้อยหนึ่งรายการที่ถูก จัดอันดับว่า มีความเสี่ยงสูง (High) โดยอ้างอิงจากฐานข้อมูลของ NIST นอกจากนี้โปรแกรมเหล่านั้นจะต้องไม่ได้รับการอัพเดตผ่านระบบแพตช์ซอฟต์แว ร์ขององค์กร อย่างเช่น Windows SMS และประการสุดท้าย แอพพลิเคชันเหล่านั้นจะต้องใช้งานโดยผู้ใช้ทั่วไป ซึ่ง IE ไม่ได้อยู่ภายใต้บรรทัดฐานการจัดอันดับในครั้งนี้

"ในขณะที่ Internte Explorer ไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานทีใช้พิจารณา แต่ล่าสุดก็เพิ่งมีข่าวออกมาว่า พบการโจมตีด้วยช่องโหว่ Zero-Day ที่พบใน IE 6 และ 7 ส่วน IE 8 ได้รับการแพตช์ช่องโหว่ไปเรียบร้อยแล้ว" Bit9 กล่าว "ช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัยของ Firefox จะรวมถึงความสามารถในการที่แฮคเกอร์จะใช้จาวาสคริปท์ในการสั่งรัน โค้ดอันตรายได้"

นอกจากไฟร์ฟอกซ์แล้ว โปรแกรมตัวอืนๆ ที่ติดโผช่องโหว่เพียบก็จะมี Adobe Flash Player (7 ช่องโหว่), Adobe Reader (35 ช่องโหว่) ประเด็นก็คือ รายงานฉบับนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกมาก่อนการพบช่องโหว่ล่าสุดใน Adobe Reader ที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ ตามด้วยโปรแกรม Quicktime ของแอปเปิ้ล Java runtime ของ Sun และ RealPlayer

Atom เครียด Core i3 กับ Mobile Core i5 จ่อคิวตัดหน้า

ซึ่งวันนี้ทาง Chipzilla ได้นำมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการกับเสียที โดยจะมีทั้ง Core i3 และ Mobile Core i5 ซึ่งจะออกสู่ตลาดภายในวันที่ 7 มกราคม 2010 นี้ และก็ไม่ต้องเดาเลยว่า ตัวเครื่องก็คงตามมาติดๆแน่นอน แม้ว่าตัว Lynnfield(ชื่อสถาปัตยกรรม Core i5) Core i5 ของตัวเดสก์ท็อปจะเป็น Quad-Core แต่สำหรับสองตัวใหม่นั้น Core i3 และ Mobile Core i5 จะเป็น Dual-Core และนับได้ว่าเป็นชิบ Intel สองตัวแรกเลยที่จะมาพร้อมกับตัว GPU Core ทาง Intel ตั้งชื่อให้ว่า “Intel HD Graphic” สำหรับตัวกราฟิกใหม่นี้ นับว่าดีพอที่จะเรียกว่าเป็นไฮเอนของพวก HTPC เลย แต่ก็ยังสามารถใส่พวกกราฟิกการ์ดแบบสลับได้เเหมือนเดิม ดังนั้นก็อย่าคิดมาก อิอิ โดยแม้ว่าชิบทั้งสองตัวนี้จะใช้เทคโนโลยีแบบ Hypertreading ใหม่ล่าสุดจาก Intel ในตัว Mobile i5 นั้นก็จะสามารถใช้ฟีเจอร์ Turbo Boost Core สำหรับการ Overclock ได้เช่นเดียวกับตัว i5 และ i7 ของเดสก์ท็อป และยังสามารถเปลี่ยนการใช้งานไปเป็นแบบ Single Core ได้อีกด้วย เวลาต้องการใช้งานก็ค่อย boost ขึ้นมาคืน



เราก็ได้แต่รอดูทั้งโน๊ตบุ๊คและเดสก์ท็อปที่ใช้ Core i3 และ i5 ที่น่าจะมาในช่วงก่อนงาน CES ซักวันสองวันเช่นกัน และแม้ว่ายังไม่ได้ทำการทดสอบอย่างจริงๆ ตัว Mobile Core i5 นั้นก็คาดว่าจะสามารถเล่น Call of Duty 4 ได้อย่างลื่น หัวทิ่มแน่นอน ขณะที่ตัวต่ำกว่าหน่อย Core i3 ก็จะไว้สำหรับรันหนัง Blu-ray หรือเล่น World of Warcraft ได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ถ้าได้เทสจริงๆเดี๋ยวจะเอาเลขมาบอกอีกที

คาดว่าถ้ามาจริงๆนั้น งานคอมมาร์ทต้นปีมีอะไรดีๆแน่นอน ใครยังตัดสินใจไม่ได้ซื้อโน๊ตบุ๊คในช่วงนี้ไม่ได้ ก็รอดูกันซักนิดนะครับ ถ้าได้ผลเทสเมื่อไหร่ทาง NBS จะนำรีวิวก่อนใครแน่นอน แต่สำหรับคนที่ซื้อไปแล้วก็ไม่ต้องน้อยเนื้อตำใจนะครับ ฮ่าๆ

แฮคเกอร์ โจมตี ทวิตเตอร์

ในทวิตเตอร์หน้าเว็บก็เปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมแสดงรูปธงสีแดงไปซะแล้ว โดยข้อความที่ปรากฎอ้างว่าเป็นกองทัพไซเบอร์ชาวอิหร่าน พร้อมข้อความประกาศความสำเร็จในการแฮคเว็บไซต์ (THIS SITE HAS BEEN HACKED...)

ความจริงปัญหาทางด้านเทคนิคของ Twitter ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่คิดว่า มันก็คงจะเป็นปัญหาเดิมๆ ที่เริ่มจะคุ้นเคยกัน เพราะก่อนหน้านี้ทวิตเตอร์ประสบปัญหาอืดจนล่มมาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นของปัญหาที่พบครั้งล่าสุดมันร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เนื่องจากมันเป็นการแฮคเข้าไปในระบบ พร้อมทั้งโพสต์ข้อความไว้บนเว็บทวิตเตอร์ด้วย




สำหรับข้อความที่แสดงเป็นภาษาอะราบิคที่เห็นบนหน้าจอ เมื่อถอดคามออกมาแล้ว ได้ความหมายประมาณว่า

"กองทัพไซเบอร์ชาวอิหร่าน

เว็บไซต์นี้ได้ถูกแฮคโดยกองทัพไซเบอร์ชาวอิหร่าน

IRANIAN.CYBER.ARMY@GMAIL.COM

สหรัฐฯ คิดว่า พวกเขากำลังควบคุม และจัดการอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเขา แต่พวกเขาไม่ใช่ เราต่างหากที่ควบคุม และจัดการอินเทอร์เน็ตด้วยอำนาจของเรา ดังนั้น อย่าพยายามเร่งเร้าให้ประชาชนชาวอิหร่านต้องลงมือ..."

ขณะนี้ทวิตเตอร์ได้กลับมาใช้งานอีกครังหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ แนะนำให้ผู้ใช้บริการของทวิตเตอร์เปลี่ยนพาสเวิร์ดจะเป็นการดีกว่าครับ!!!

Update: "DNS ของทวิตเตอร์ถูกแก้ไขชั่วคราว (เปลี่ยนให้ชี้ไปยังหน้าเว็บของแฮคเกอร์) แต่มันได้รับการแก้ไขเรียบร้อย แล้ว เราจะอัพเดตรายละเอียดให้ทราบโดยเร็ว" ข้อความล่าสุดทีทวิตเตอร์ได้โพสต์ แจ้งไว้

การเชื่อมสายโทรศัพท์และ POTs Splitter

สายโทรศัพท์ที่ต่อกับอุปกรณ์ ADSL จะต้องเป็นสายตรงจากองค์การโทรศัพท์ โดยไม่มีการต่อพ่วงอุปกรณ์ใด ๆ การต่อพ่วงสามารถทำได้เมื่อต่อผ่านอุปกรณ์ POTs splitter เท่านั้น การต่อพ่วงโดยไม่ใช้ POTs Splitter จะทำให้สัญญาณ ADSL หลุด เมื่อมีการใช้สายโทรศัพท์ หรือสัญญาณ ADSL จะถูกรบกวนจนไม่สามารถใช้งานได้


POTS splitter คืออุปกรณ์ทีช่วยให้เราใช้โทรศัพท์ หรือแฟกส์ได้ พร้อม ๆ กับการใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วย ADSL POTs Splitter ทำหน้าที่ในการแยกสัญญาณที่เป็น Voice ออกจากสัญญาณ ADSL เพื่อไม่ให้สัญญาณรบกวนซึ่งกันและกัน

อุปกรณ์ POTs splitter มี 3 ช่อง คือ LINE, MODEM และ PHONE ในการเชื่อมต่อให้นำสายโทรศัพท์ต่อเช้าที่ช่อง LINE และนำสายโทรศัพท์ที่ต่อไปยังโมเด็มต่อเข้าที่ช่อง Modem และ ต่อสายโทรศัพท์จากช่อง PHONE เข้าที่เครื่องรับโทรศัพท์

อุปกรณ์ POTs splitter โดยปกติมาพร้อมกับอุปกรณ์เราเตอร์ หรือโมเด็ม



รูปแบบการต่อพ่วงมีหลายรูปแบบ ดังนี้

รูปแบบที่ 1 การเชื่อมต่อแบบมาตรฐาน

นำสายโทรศัพท์จากผนัง เชื่อมต่อเข้าที่ช่อง LINE ของ POTs splitter นำสายโทรศัพท์จากเครื่องรับโทรศัพท์เชื่อมต่อเข้าที่ช่อง PHONE และต่อสายโทรศัพท์จากเราเตอร์เข้าที่ช่อง MODEM



รูปแบบที่ 2 การต่อพ่วงโทรศัพท์มากกว่า 1 จุด

การต่อพ่วงมากกว่า 1 จุด ต้องติดตั้ง POTs splitter มากกว่า 1 ตัว



รูปแบบที่ 3 การต่อสายตรงเข้าโมเด็ม และต่อโทรศัพท์ผ่าน POTs Splitter

ในบางกรณีการเชื่อมต่อผ่าน POTs Splitter อาจทำให้โมเด็มหรือเราเตอร์ไม่สามารถ Sync สัญญาณ ADSL ได้ต้องใช้อุปกรณ์แยกโทรศัพท์แบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป ( เข้า 1 ออก 2) และเชื่อมต่อไปยังโมเด็ม และ POTs splitter ดังภาพ



รูปแบบที่ 4 การเชื่อมต่อผ่าน Micro filter

Micro filter เป็นอุปกรณ์กรองสัญญาณความถี่ต่ำ เพื่อป้องกันสัญญาณโทรศัพท์เข้าไปรบกวนสัญญาณ ADSL อุปกรณ์ Micro filter มีสองช่อง คือ Line และ Phone ในการเชื่อมต่อ ต้องใช้อุปกรณ์แยกสายโทรศัพท์ แบบเข้า 1 ออก 2 และเชื่อมต่อสายโทรศัพท์จากอุปกรณ์แยกสายไปที่ Micro filter ที่ช่อง Line และต่อสายโทรศัพท์จากเครื่องรับโทรศัพท์เข้าที่ช่อง Phone



รูปแบบที่ 5 การเชื่อมต่อผ่านตู้สาขา PBX

กรณีการเชื่อมต่อผ่านตู้สาขา เพื่อให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต ADSL ได้ ต้องมีการตัด - ต่อและเดินสายใหม่ ดังภาพ ถ้าใช้ micro filter ก็ต้องทำการตัด - ต่อสายเช่นเดียวกัน โดยต้องติดตั้งอุปกรณ์แยกสาย ( เช่นเดียวกับรูปแบบที่ 4) และต่อ micro filter ก่อนเข้าตู้ PABX


ความรู้เกี่ยวกับ ADSL เบื้องต้น

ADSL มาจากคำว่า Asymmetric Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีของ Modem แบบใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง ให้เป็นเส้นสัญญาณนำส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ADSL สามารถจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการด้วยความเร็วมากกว่า 6 Mbps ไปยังผู้รับบริการ หมายความว่า ผู้ใช้บริการสามารถ Download ข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากกว่า 6 Mbps ขึ้นไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการข้อมูลทั่วไป (ส่วนจะได้ความเร็ว กว่า 6 Mbps หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมทั้งระยะทางการเชื่อมต่ออีกด้วย) ความเร็วขณะนี้ มากเพียงพอสำหรับงานต่างๆ ดังต่อไปนี้
• งาน Access เครือข่าย อินเทอร์เน็ต
• การให้บริการแพร่ภาพ Video เมื่อร้องขอ (Video On Demand)
• ระบบเครือข่าย LAN
• การสื่อสารข้อมูลระหว่างสถานที่ทำงานกับบ้าน (Telecommuting)

ประโยชน์จากการใช้บริการ ADSL
• ท่านสามารถคุยโทรศัพท์พร้อมกันกับการ Access ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกัน ด้วยสายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน โดยไม่หยุดชะงัก
• ท่านสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วเป็น 140 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ธรรมดา
• การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะถูกเปิดอยู่เสมอ (Always-On Access) ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการส่งถ่ายข้อมูลถูกแยกออกจากการ เรียกเข้ามาของ Voice หรือ FAX ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด
• ไม่มีปัญหาเนื่องสายไม่ว่าง ไม่ต้อง Log On หรือ Log off ให้ยุ่งยากอีกต่อไป
• ADSL ไม่เหมือนกับการให้บริการของ Cable Modem ตรงที่ ADSL จะทำให้ท่านมีสายสัญญาณพิเศษเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ขณะที่ Cable Modem เป็นการ Share ใช้สายสัญญาณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อาจเป็นเพื่อนบ้านของท่าน
• ที่สำคัญ Bandwidth การใช้งานของท่านจะมีขนาดคงที่ (ตามอัตราที่ท่านเลือกใช้บริการอยู่เสมอ) ขณะที่ขนาดของ Bandwidth ของการเข้ารับบริการ Cable Modemหรือการใช้บริการ อินเทอร์เน็ตปกติของท่าน จะถูกบั่นทอนลงตามปริมาณการใช้งาน อินเทอร์เน็ตโดยรวม หรือการใช้สาย Cable Modem ของเพื่อนบ้านท่าน
• สายสัญญาณที่ผู้ให้บริการ ADSL สำหรับท่านนั้น เป็นสายสัญญาณอิสระไม่ต้องไป Share ใช้งานกับใคร ด้วยเหตุนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง

อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลบน ADSL
ADSL ที่ว่าทำงานเร็ว นั้นเร็วเท่าใดกันแน่ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ADSL มีอัตราความเร็วขึ้นอยู่กับชนิด ดังนี้
• Full-Rate ADSL เป็น ADSL ที่มีศักยภาพในการส่งถ่ายข้อมูลข่าวสาร ที่ความเร็ว 8 เมกกะบิต ต่อวินาที
• G.Lite ADSL เป็น ADSL ที่สามารถส่งถ่ายข้อมูลข่าวสารได้สูงถึง 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที ขณะที่กำลัง Download ความเร็วขนาดนี้ คิดเป็น 25 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ขนาด 56K และคิดเป็น 50 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem ความเร็ว 28.8K
• ผู้ให้บริการ ADSL สามารถให้บริการ ที่ความเร็วต่ำขนาด 256K ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ
อัตราความเร็วขึ้นอยู่กับ ระดับของการให้บริการ จากผู้ให้บริการ โดยปกติแล้ว Modem ที่เป็นระบบ ADSL สามารถ Download ข้อมูลได้ที่ความเร็ว 256 กิโลบิตต่อวินาที ไปจนถึง 8 เมกกะบิตต่อวินาที นอกจากนี้ มาตรฐาน G.lite ที่กำลังจะมาใหม่ สามารถให้บริการที่อัตราความเร็วเป็น 1.5 เมกกะบิตต่อวินาที
ADSL สามารถทำงานที่ Interactive Mode หมายความว่า ที่ Mode การทำงานนี้ ADSL สามารถให้บริการรับส่งข้อมูล ที่ความเร็วมากกว่า 640 Kbps พร้อมกันทั้งขาไปและขากลับ

ขีดความสามารถของ ADSL
เทคโนโลยีของ ADSL เป็นแบบ Asymmetric มันจะให้ Bandwidth การทำงานที่ Downstream จากผู้ให้บริการ ADSL ไปยังผู้รับบริการสูงกว่า Upstream ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลจากผู้ใช้บริการหรือลูกค้า ไปยังผู้ให้บริการ(ดังรูปที่ 1 และ 2)

วงจรของ ADSL จะเชื่อมต่อ ADSL Modem ที่ทั้งสองด้านของสายโทรศัพท์ ทำให้มีการสร้างช่องทางของข้อมูลข่าวสารถึง 3 ช่องทาง ได้แก่
• ช่องสัญญาณ Downstream ที่มีความเร็วสูง
• ช่องสัญญาณ ความเร็วปานกลางแบบ Duplex (ส่งได้ทางเดียว)
• ช่องสัญญาณที่ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน
ช่องสัญญาณ Downstream ความเร็วสูง มีความเร็วระหว่าง 1.5-6.1 Mbps ส่วนอัตราความเร็วของช่องสัญญาณแบบ Duplex อยู่ที่ 16-640 Kbps นอกจากนี้ ในแต่ละช่องสัญญาณยังสามารถแบ่งออกเป็นช่องสัญญาณย่อยๆ ที่มีความเร็วต่ำ ที่เรียกว่า Sub-Multiplex ได้อีกหลายช่อง
ADSL Modem สามารถให้อัตราความเร็วการส่งถ่ายข้อมูลมาตรฐานเทียบเท่า North American T1 1.544 Mbps และ European E1 2.048 Mbps โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการความเร็วได้หลายระดับ

ระยะทางและอัตราความเร็วของ ADSL
ระยะทางมีผลต่ออัตราความเร็วในการให้บริการของ ADSL เป็นอย่างมาก โดยมีปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดความยาวสาย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวด อุปกรณ์ Bridge Taps รวมไปถึงการกวนกันของอุปกรณ์ Cross-Coupled
ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ความเสื่อมถอย (Attenuation) ของสัญญาณเกิดขึ้น เมื่อความยาวของสายทองแดงมีมากขึ้น รวมทั้งความถี่ ซึ่งค่านี้จะลดลงเมื่อเพิ่มขนาดของสาย
อย่างไรก็ดี งาน Application ที่ต้องใช้บริการ ADSL ส่วนใหญ่ จะเป็นพวก Compressed Digital Video เนื่องจากเป็นสัญญาณประเภททำงานแบบเวลาจริง (Real-Time) ด้วยเหตุนี้ สัญญาณ Digital Video เหล่านี้ จึงไม่สามารถใช้ระบบควบคุมความผิดพลาด แบบที่มีอยู่ในระดับของเครือข่ายทั่วไป ดังนั้น ADSL Modem จึงมีระบบ ที่เรียกว่า Forward Error Correction ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดความผิดพลาด ที่อาจเกิดขึ้นโดยสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาสั้นมาก หรือที่เรียกว่า Impulse Noise โดย ADSL Modem จะใช้วิธีการตรวจสอบความผิดพลาดที่ทำงานบนพื้นฐานของ การกำหนดให้มีการตรวจสอบสัญญาลักษณ์ทีละตัว การทำเช่นนี้ ก็ยังช่วยให้ เป็นการลด ปัญหาการควบของสัญญาณรบกวนในสาย

การทำงานของ ADSL
หลักการทำงานของ ADSL ไม่มีอะไรมาก เนื่องจากว่า สายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดง มี Bandwidth สูงคิดเป็น หลายๆ MHz ดังนั้น จึงมีการแบ่งย่านความถี่นี้ออกเป็นส่วน เพื่อใช้งานโดยวิธีการแบบที่เรียกว่า FDM (Frequency Division Multiplexing) ซึ่งเป็นเทคนิคการแบ่งช่องสัญญาณออกเป็นหลายๆช่อง โดยที่แต่ละช่องสัญญาณจะมีความถี่ที่แตกต่างกัน ดังนั้น จะได้ Bandwidth ต่างๆ ดังนี้
• ย่านความถี่ขนาดไม่เกิน 4 KHz ปกติจะถูกนำมาใช้เป็น Voice กับ FAX
• ย่านความถี่ที่สูงกว่านี้ จะถูกสำรองจองไว้ให้การรับส่งข้อมูล โดยเฉพาะ ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น หลายย่านความถี่ เช่น ช่องสัญญาณสำหรับ การรับข้อมูลแบบ Downstream ตัวอย่าง เช่นการ Download ข้อมูล ส่วนช่องสัญญาณอื่นมีไว้สำหรับการส่งข้อมูลที่มีความเร็วต่ำกว่า Downstream ซึ่งเรียกว่า Upstream หรือสำหรับการ Upload ข้อมูล เป็นต้น
สถาปัตยกรรมการทำงานของเครือข่าย ADSL
เทคโนโลยีของเครือข่าย ADSL มิได้มีไว้เพื่อการ Download ข้อมูลจาก Web Page อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพในการให้บริการสื่อสารในลักษณะ Broad Band สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งคำว่า Broad Band ในที่นี้หมายถึง การให้บริการสื่อสารที่มีความเร็วเกินกว่า 1-2 Mbps ขึ้นไป

สถานที่ผู้เข้ารับบริการ ADSL นั้น นอกจากจะต้องมี ADSL Modem แล้ว ยังต้องมี อุปกรณ์เล็กๆตัวหนึ่ง ซึ่งได้กล่าวมาแล้วคือ Splitter หรือ Filter ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ จะทำหน้าที่แยกสัญญาณเสียงที่มีความถี่ไม่เกิน 4 KHz สำหรับการส่ง Voice เช่นการพูดคุยโทรศัพท์ ส่วนย่านความถี่ที่เหลือ เช่น 1-2 MHz ขึ้นไป จะถูกกันไว้เพื่อการส่งข้อมูล (Upstream) และรับข้อมูลเข้ามา (Downstream) โดยที่ Splitter สามารถแยกสัญญาณทั้ง 3 ออกจากกัน ดังนั้นท่านสามารถคุยโทรศัพท์ขณะที่ยังสามารถ Download ข้อมูลจาก อินเทอร์เน็ตพร้อมกันได้
ส่วนที่ศูนย์บริการระบบ ADSL นั้น เราเรียกว่า CO หรือ Central Office ซึ่งอาจเป็นของผู้ให้บริการ ADSL หรือไม่ก็อาจเป็นชุมสายโทรศัพท์เสียเองก็ได้ จะทำหน้าที่รับเอาสัญญาณ Voice Services (เสียงพูดโทรศัพท์) เข้ามาที่ตัว Voice Switch ซึ่งอาจรวมทั้ง Data ก็ได้ โดย สัญญาณทั้งสองจะมาสิ้นสุดที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Splitter ชุดใหญ่ที่ศูนย์ให้บริการแห่งนี้ ลักษณะนี้จะเห็นได้ว่า เส้นทาง Local Loop (เส้นทางการเชื่อมต่อระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ) จะไปสิ้นสุดที่ Access Node แทนที่จะเป็น CO Switch (คำว่า Access Node ในที่นี้หมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสลับสัญญาณ ADSL หรือที่เรียกว่า DSLAM (DSL Access Multiplexer ส่วน CO Switch หรือ Voice Switch หมายถึงระบบสลับสัญญาณเพื่อให้บริการระบบโทรศัพท์)
หน้าที่ของ DSLAM ได้แก่การสลับสัญญาณ ADSL ที่เข้ามาพร้อมๆกันหลายช่อง โดยผ่านเข้ามาทางชุด Splitter ในศูนย์ผู้ให้บริการ ให้สามารถออกไปที่ เอาท์พุท ปลายทาง ซึ่งในที่นี้ได้แก่ ผู้ให้บริการระบบเครือข่ายต่างๆ เช่น ISP หรือผู้ให้บริการ Video On Demand หรือศูนย์ให้บริการข้อมูลข่าวสารต่างๆ หรือ สำนักงานใหญ่ของหน่วยงานธุรกิจภาคเอกชนก็ได้

ตั้งค่าระบบเครือข่ายแบบง่ายๆ บนวินโดวส์ 7

ไมโครซอฟท์พยายามบนวินโดวส์หลายเวอร์ชันมานานมากแล้ว เพื่อที่จะทำให้การตั้งค่าระบบเครือข่ายภายในบ้านนั้นเป็นไปอย่างง่ายดาย เชื่อมต่อได้อัตโนมัติ และก็สามารถแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์ได้สะดวก ในที่สุดก็มาประสบความสำเร็จในวินโดวส์ 7 ด้วยคุณสมบัติที่เรียกว่า "HomeGroup"
โฮมกรุ๊ป (HomeGroup) ช่วยผู้ใช้ในการสร้างระบบเครือข่ายภายในบ้านด้วยฟังก์ชันการเข้าถึงและแชร์ ข้อมูลเพียบพร้อมและยืดหยุ่น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจมากบนวินโดวส์ 7 และนั่นก็หมายถึงว่า ผู้ใช้วินโดวส์วิสต้า เอ็กซ์พี แมค และลินุกซ์ คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความสะดวกสบายที่ว่า
วินโดวส์ 7 ช่วยเราในการสร้างระบบเครือข่ายได้ 3 รูปแบบ - Home, Work และ Public หรือก็คือเครือข่ายภายในบ้าน ที่ทำงาน และที่สาธารณะ แต่ในการใช้งานโฮมกรุ๊ปนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพีซีบนระบบเครือข่ายทุก เครื่องตั้งค่าการเชื่อมต่อเอาไว้เป็นแบบ Home เท่านั้น ซึ่งในการตั้งค่าที่ว่าบนวินโดวส์ 7 ก็สามารถทำได้โดยไปที่คอนโทรลพาเนล แล้วเลือก Network and Internet จากนั้นก็เลือก Network and Sharing Center (หรือใครอยากจะใช้วิธีลัดด้วยการคลิกขวาที่ไอคอนเน็ตเวิร์กบนซิสเต็มเทรย์ มุมล่างขวาของหน้าจอเพื่อเข้าสู่ Network and Sharing Center ก็ได้เช่นกัน) และท้ายสุดก็คือดูให้แน่ใจว่าเราได้เลือกค่าเอาไว้เป็น "Home network" ภายใต้ไอคอนระบบเครือข่าย หากยังไม่ใช่ก็คลิกที่ลิงก์ "Public network" หรือ "Work network" แล้วเปลี่ยนให้เป็น "Home network" แทน

เพียงแค่นี้เราก็สามารถสร้างโฮมกรุ๊ปได้แล้ว ซึ่งที่จริงหลังจากที่เราเปลี่ยนระบบเครือข่ายเป็นแบบภายในบ้านหรือ Home วินโดวส์ 7 ก็จะพาเราไปยังหน้าต่างสำหรับตั้งค่าอย่าง Create a homegroup เพื่อสร้างโฮมกรุ๊ปใหม่ขึ้นมา หรือถ้าได้เลือก Home เอาไว้อยู่แล้ว ก็คลิกที่ลิงก์ Choose homegroup and sharing options แล้วตามด้วย Create ได้เลย

ขั้นตอนต่อไปก็คือ การเลือกชนิดของไฟล์ที่ต้องการแบ่งปันกันกับสมาชิกคนอื่นในโฮมกรุ๊ป ก็มีให้เลือกตั้งแต่รูปภาพ เพลง วิดีโอ ไฟล์เอกสาร หรือแม้แต่การแชร์เครื่องพิมพ์ โดยตัวเลือกเหล่านี้จะสอดคล้องกับไลบรารี (library) ที่วินโดวส์ 7 สร้างขึ้นตามค่าดั้งเดิมตอนติดตั้งระบบปฏิบัติการลงบนคอมพิวเตอร์ และก็รวมไปถึงโฟลเดอร์อื่นๆ ที่สร้างขึ้นโดยผู้ใช้แต่ละคนในยูสเซอร์โพรไฟล์ด้วย

สิ่งที่เรากำลัง ทำอยู่ตอนนี้ความจริงแล้วก็คือ การแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ที่อยู่บนพีซีของเราให้กับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อยู่บนโฮมกรุ๊ปให้สามารถเข้าถึงได้ ตัวอย่างเช่น โฟลเดอร์ c:UsersxxxxPictures หรือ c:UsersxxxxMusic และก็รวมไปถึงโฟลเดอร์อย่าง c:UsersPublic ด้วย โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มโฟลเดอร์ต่างๆ ที่ต้องการแชร์ได้มากตามต้องการ

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ วินโดวส์ 7 ก็จะเปิดโอกาสให้เราตั้งค่ารหัสผ่านสำหรับเข้าใช้โฮมกรุ๊ปได้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าพีซีเครื่องอื่นๆ ที่ต้องการใช้งานโฮมกรุ๊ปก็จำเป็นต้องทราบรหัสผ่านนี้ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นเก็บรักษารหัสผ่านให้ดีๆ (อาจใช้วิธีไฮไลต์เลือกแล้วก็ก๊อบปี้ไปเก็บไว้ในเท็กซ์ไฟล์หรือส่งเป็นอี เมล์ไว้ในอินบ็อกซ์ของเราก็ได้) หรืออาจสั่งพิมพ์ออกมาไว้ซักชุดยามฉุกเฉิน และจะได้ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตั้งค่าให้กับผู้ใช้คนอื่นๆ บนโฮมกรุ๊ปเดียวกันด้วย

หลังจากเราคลิก Finish เพื่อเสร็จสิ้นการตั้งค่า คำสั่ง Change homegroup settings เป็นส่วนที่เปิดโอกาสให้เราเปลี่ยนรหัสผ่านหากเปลี่ยนใจอยากกำหนดใหม่ รวมไปถึงการเข้าถึงการตั้งค่าชั้นสูงในหน้า Advanced Sharing Settings ด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำไม่น้อยอย่างน้อยก็ในตอนนี้ก็คือ การปรับเพิ่มไลบรารี โฟลเดอร์ หรือไฟล์ในโฮมกรุ๊ป ซึ่งก็น่าแปลกใจพอสมควรที่ไมโครซอฟท์มองข้ามตรงนี้ไป ทั้งที่สิ่งต่างๆ บนโฮมกรุ๊ปควรถูกปรับเปลี่ยนได้อย่างยืดหยุ่นที่สุด
แม้จะยังไม่จำเป็นนัก แต่ถึงตรงนี้แล้วก็ลองแวะเข้ามาที่ Advanced Sharing Settings ดูสักนิดด้วยการคลิก Change advanced sharing settings แล้วเลือกลูกศรชี้ลงที่อยู่ข้างๆ Home หรือ Work
ตรงจุดนี้เราจะเห็นตัว เลือกอีก 6 ตัว ที่ระบุถึงรูปแบบการตั้งค่าระบบเครือข่ายภายในบ้านของวินโดวส์ 7 (ที่จริงแล้วระบบเครือข่ายทุกแบบบนวินโดวส์ 7 ก็ใช้การตั้งค่าเบื้องต้นในลักษณะเดียวกันนี้) โดยจุดที่น่าสนใจที่สุดอยู่ในกรอบ Advanced Sharing ก็คือ การกำหนดค่าการค้นหาคอมพิวเตอร์บนระบบเครือข่าย (network discovery - ทำให้พีซีเครื่องอื่นสามารถมองเห็นคอมพิวเตอร์ของคุณได้) การแชร์ไฟล์และเครื่องพิมพ์ และการแชร์สื่อข้อมูลต่างๆ ซึ่งหากไม่ได้เลือกค่าเหล่านี้ไว้ เราก็แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากโฮมกรุ๊ปเลย...เราจะไม่มีโอกาสได้ใช้ คุณสมบัติที่ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลบนคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ ภายในบ้านเป็นไปอย่างราบรื่นผ่านศูนย์กลางที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหลักหรือบน ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เฉพาะในการเก็บข้อมูลส่วนกลางของสมาชิกใน บ้าน

หลังจากที่เราได้สร้างโฮมกรุ๊ปขึ้นมา คอมพิวเตอร์ที่มองเห็นเครือข่ายของเราก็สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกในโฮมกรุ๊ป ได้ โดยผู้ใช้แต่ละเครื่องเพียงแค่ไปเรียก Network and Sharing Center ขึ้นมาจากคอนโทรลพาเนล แล้วคลิกที่ Choose homegroup ซึ่งจะมีคำถามปรากฏขึ้นมาเพื่อยืนยันในการเข้าเป็นสมาชิกโฮมกรุ๊ปว่า "Do you want to join a homegroup?" พร้อมด้วยรายชื่อโฮมกรุ๊ปที่มีอยู่ จากนั้นก็คลิกที่ Join Now เพื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ

หลังจากที่เรา เข้าไปสมาชิกในโฮมกรุ๊ปแล้ว จะมีลิงก์ที่เชื่อมไปยังหน้าช่วยเหลือของวินโดวส์เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับ การเข้าถึงไฟล์และทรัพยากรต่างๆ บนโฮมกรุ๊ป ซึ่งก็ช่วยเหลือได้อย่างดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ค้นเคยกับการแชร์ข้อมูลต่างๆ ลักษณะนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักวิธีแชร์ไฟล์ของตัวเองให้กับคน อื่นๆ
โดยปกติแล้วไลบรารีต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตอนติดตั้งวินโดวส์ 7 จะถูกแบ่งปันบนโฮมกรุ๊ปโดยทันที แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไม่เฉพาะไลบรารีเหล่านี้เท่านั้นที่เราแชร์ให้กับคนอื่นๆ ได้ เราสามารถกำหนดการแชร์ทรัพยากรได้ด้วยตัวเอง โดยให้เรียกไลบรารีขึ้นมาจากทาส์กบาร์และเลือกไปยังส่วนที่เราต้องการแบ่ง ปัน จากนั้นก็คลิกขวาแล้วเลือก Share With | Homegroup ซึ่งจะมีตัวเลือกให้เลือกอีก 2 แบบด้วยกัน คือ อ่านอย่างเดียว และอ่านและเขียนไฟล์ข้อมูลได้ หมายความว่าหากเราไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาแก้ไขอะไรในนี้ก็เลือกเป็น อ่านอย่างเดียว แต่ถ้าต้องการให้ไลบรารีที่ว่าเปิดกว้างสำหรับผู้ใช้คนอื่นๆ อย่างเต็มที่ อ่าน/เขียน ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

ความจริงเราสามารถแชร์โฟลเดอร์ และไฟล์ไปไว้บนโฮมกรุ๊ปได้ แต่แนวทางที่ดีกว่าก็คือ โยนโฟลเดอร์เหล่านั้นไปไว้บนไลบรารี แล้วใช้วิธีการแชร์ไลบรารีน่าจะเข้าท่ากว่า อย่างน้อยก็สะดวกในการจัดการสิ่งต่างๆ ในภายหลังมากกว่าวิธีอื่นๆ

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่พร้อมก้าวเป็น Ubiquitous Campus

พีซีแมกะซีนฉบับนี้ได้นำเสนอเรื่องราวของการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของทางมหาวิทยาลัยเชียใหม่เอง ที่กำลังมีแนวทางในเรื่องแบบเดียวกันก็คือ การทำให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็น Ubiquitous Campus (ยู-บิ-ควิ-ตัส แคมปัส) ครับ
รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เล่าให้ฟังว่า ณ ในช่วงเวลานี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินงานด้านไอที เพื่อก้าวไปสู่การเป็น Ubiquitous Campus ซึ่งโดยนิยามของคำว่า Ubiquitous Campus ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น หมายถึง การสร้างสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย เพื่อการดำเนินการต่างๆ ในชีวิตประจำวันของ นักศึกษา และ ชุมชมภายใน ให้เอื้อต่อการเข้าถึง สามารถใช้ประโยชน์จากไอที และการสื่อสารโทรคมนาคมอย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการสร้างชีวิตไอที (CMU IT Life) ให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของนักศึกษา อาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เครื่องมือการเข้าถึงในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่จำกัดเฉพาะคอมพิวเตอร์ (terminals) และการให้บริการต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์จากไอที โดยการออกแบบให้มีการบูรณาการและผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

นับจากช่วงเวลานี้ไปอีก 4 ปี ข้างหน้า เชื่อว่านักศึกษาและชุมชนภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์ จาก สารสนเทศได้อย่างครอบคลุม ทุกที่ ทุกเวลา และจากเครื่องมือที่หลากหลาย โดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ (Emerging Technology) ที่เรียกว่า Ubiquitous Technology* รวมทั้งการดำเนินการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปพร้อมๆ กัน เช่น การเพิ่มศักยภาพของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลัก การบริหารจัดการพื้นที่การจัดเก็บข้อมูล การขยายความเร็ว ครอบคลุมการดูแลด้านความปลอดภัยของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มจุดของการให้บริการเครือข่ายแบบไร้สาย ซึ่ง ณ วันนี้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ได้ให้บริการเครือข่ายไร้สายในมหาวิทยาลัยกว่า 227 จุด ทำให้มีผู้ใช้เข้าพร้อมกันได้ถึง 2,000 ราย โดยนักศึกษาสามารถใช้บริการได้ในพื้นที่ที่มีสัญลักษณ์ Jumbo-Net Service Area เช่น สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ห้องสมุดกลาง ห้องสมุดคณะ และศูนย์ไอทีของทุกคณะ หอพักทั่วมหาวิทยาลัย และที่สำคัญที่สุดก็คือ การให้บริการการใช้ประโยชน์สารสนเทศเพื่อการสื่อสาร เรียนรู้ และเพื่อ productivity ต่างๆ ของผู้เรียน ตัวอย่างเช่น การให้บริการ Digital Content ในลักษณะของสื่อใหม่ Game-Based Learning สตรีมมิ่งมีเดีย เป็นต้น ผ่านอุปกรณ์การเข้าถึงในรูปแบบต่างๆ โดยบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สามารถใช้บริการผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ดังต่อไปนี้

* www.chiangmai.ac.th เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อการประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารของมหาวิทยาลัย ที่นักศึกษาสามารถติดตามข่าวสารทางวิชาการ ความเคลื่อนไหว กิจกรรมต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
* http://itsc.cmu.ac.th เว็บไซต์สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร การให้บริการด้านไอที โดยเฉพาะการศึกษา พัฒนาทักษะด้านไอทีของนักศึกษา และจัดหลักสูตรด้านไอทีที่หลากหลายตามความต้องการ
* http://mis.chiangmai.ac.th/cmumis/ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการบริหารงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
* http://itscgames.cm.edu เว็บไซต์ระบบสื่อการเรียนรู้ออนไลน์รูปแบบ Game-Based Learning
* http://itsc.cmu.ac.th/cmunetwork.html โทรทัศน์ออนไลน์ CMU Network TV
* http://dekmor.cmu.ac.th ชุมชนออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
* http://www.mcotcm.com/it_talk เว็บไซต์เผยแพร่ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง อสมท FM 100.75 รายการคุยเฟื่องเรื่องไอที
* http://www.fm100cmu.com/blog/itsccorner เว็บไซต์เผยแพร่ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง เสียงสื่อสารมวลชน FM 100 รายการ ITSC Corner
* http://www.lannacorner.net/weblanna สารสนเทศด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา รวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยว

และ ถ้านักศึกษาไม่ได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง ทางมหาวิทยาลัยก็ได้มีการจัดบริการคอมพิวเตอร์พร้อมอินเทอร์เน็ตทั่วทุกคณะ จำนวน 1,000 เครื่อง ด้วยความเร็ว 400 Mbps สามารถ Log in โดยใช้ Username และ Password ของนักศึกษา เพื่อใช้งานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Jumbo – Net) และเรียกใช้งานจากที่พัก (Remote Access) โดยมีชั่วโมงการใช้งาน 60 ชั่วโมง/เดือน นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้ง ITSC CORNER โดยให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 80 เครื่อง ในพื้นที่เดียวกันอย่างครบวงจร บริเวณหน้าสำนักหอสมุด ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษาได้ใช้บริการเกี่ยวกับการสืบค้น ค้นคว้าสารสนเทศและสามารถใช้เป็นแหล่งนัดพบของนักศึกษา เพื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้กันได้เป็นอย่างดี
*Ubiquitous Technology ครอบคลุม IPV6, Grid, Handheld PC, RFID, Educational Content Sharing Service, Multimedia Classroom Services Next-generation LCMS and Digital Content โดยมี สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็น หน่วยงานหลักในการดำเนินการ สำรวจ ติดตาม ค้นคว้า วิจัยหลัก เกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ให้การลงทุน และใช้ประโยชน์ทางด้านไอทีให้มีความปลอดภัยสูง

“ลายมือ” มีสิทธิ์สูญพันธุ์

ความเจริญของโลกทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นมรดกสำคัญมีโอกาสสูญหายไป นักเขียนคนหนึ่งในอังกฤษเขียนหนังสือชื่อ “Script and Scribble: The Rise & Fall of Handwriting” ทำนายว่าการเขียนด้วยมือกำลังสูญพันธุ์อย่างช้า ๆ
คิตตี้ เบิร์นส์ ฟลอเรย์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว บีบีซี ว่าศิลปะการเขียนหนังสือด้วยมือกำลังเสื่อมไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากคนรุ่น ใหม่ใช้ปากกาเขียนหนังสือเองน้อยลงเพราะมีการใช้ระบบสื่อสารสมัยใหม่ผ่าน เครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีแนวโน้ม สูงขึ้นโดยตลอด ทำให้ไม่มีความจำเป็นในการเขียนหนังสือด้วยมืออีกต่อไป

ฟลอเรย์ ระบุว่า การหัดคัดลายมือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนการสอน ของโรงเรียนในประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ผ่านมาและคนอังกฤษก็มีวิธี การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เห็นได้จากเรื่องราวในช่วงสงครามครั้งที่สอง เมื่อทหารเยอรมันปลอมตัวเป็นทหารช่างอังกฤษและแอบเข้าประเทศอังกฤษ เพื่อสอดแนมโดยไปตั้งแคมป.ในต่างจังหวัดแต่โดนจับได้เนื่องจากชาวบ้าน เห็นทหารคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่เหมือนคนอังกฤษ

สำนักข่าวบีบีซีสัมภาษณ์ มาร์ก บราวน์ ครูใหญ่ของโรงเรียนเซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมคาทอลิกที่เมือง Axminster,Devon พบว่าโรงเรียนเอง ก็ได้เปลี่ยนวิธีการสอนจากที่เคยเน้นการคัดลายมือให้สวยงามเป็นระเบียบ มาเป็นการให้ความสำคัญต่อเนื้อหาสาระของการเขียนมากกว่า

บราวน์ ระบุว่ายังมีการสอนให้เด็กหัดคัดลายมืออยู่และผู้ปกครองส่วนใหญ่อยากให้เป็น แบบเดียวกับสมัยของตัวเองแต่โรงเรียนก็ได้เปลี่ยนการให้ความ สำคัญ ซึ่งทำให้เด็กเขียนเนื้อหาได้ดีขึ้นแต่ลายมือแย่ลงเมื่อเทียบกับคนสมัยก่อน

ฟลอเรย์ ระบุว่า ความสำคัญของการเขียนและอ่านลายมือจะลดลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นในวงการแพทย์เนื่องจากนายแพทย์ส่วนใหญ่ยังนิยมเขียน ด้วยมือในการวิเคราะห์โรค และใบสั่งยาแต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าลายมือของพวก หมออ่านยากที่สุดในโลกและบางครั้งก็เป็นต้นเหตุของการรักษาผิดพลาด

ประเทศไทยเองก็เป็นปัญหาอยู่เห็นได้จากข่าวเมื่อเร็วๆนี้ที่มีการขลิบอวัยวะเพศเด็กชายทั้งที่เด็กไปที่คลินิกเพื่อผ่าตัดฝีในปาก

สิ่ง ที่เชื่อกันว่าจะเป็นสาเหตุที่เร่งให้การเขียนด้วยมือและลายมือสูญพันธุ์ เร็วยิ่ง ขึ้นคือพัฒนาการของโทรศัพท์มือถือซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสาร สำหรับคน รุ่นใหม่และล่าสุดมีหนังสือขายดีในญี่ปุ่นเล่มหนึ่งชื่อ “ประสบการณ์ครั้ง แรก” ของนักเรียนมัธยมญี่ปุ่นอายุ 22 ปีใช้นามปากกาว่า ยูมี-โฮตารุ ซึ่งแปลว่า หิ่งห้อยฝันเฟื่อง หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือขายดีเล่มแรกของโลกที่เขียน ด้วยการกดปุ่ม

สำนัก ข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่านายหิ่งห้อยฝันเฟื่องเขียนหนังสือทั้งเล่มบน โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมคนรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นโดยเขียน เรื่องที่ละบรรทัดบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ที่มีอยู่หลายแห่งใน ญี่ปุ่น

ความนิยมของนิยาย “ประสบการณ์ครั้งแรก” ทำให้สำนักพิมพ์ชื่อดังติดต่อนาย หิ่งห้อยฝันเฟื่อง เพื่อขอลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์และกลายเป็นหนังสือขายดีไปด้วย

ชาว ญี่ปุ่นเรียกนิยายบนโทรศัพท์มือถือนี้ว่า ไคไต โชเซ็ทสุ หรือบทประพันธ์บน โทรศัพท์มือถือเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นักเขียนส่วน ใหญ่เป็นวัยรุ่นหญิงและชายซึ่งเขียนเรื่องต่างๆ
รวมทั้ง ประสบการณ์ตัวเอง บางเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องปิดบังอำพราง อาทิ เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ การเสพยา การทำแท้ง เขียนบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ บทประพันธ์เหล่านี้ สามารถติดตามอ่านได้บนโทรศัพท์มือถือเป็นตอนๆ
ความก้าวหน้าทางการสื่อสาร และปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีส่วนสำคัญให้การเขียนหนังสือด้วยมือหดหายไป จากวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง ต้องกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง คนกลุ่มนี้ก็คือผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียน

มีรายงานว่ายอดการผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนยังขยายตัวอยู่แต่ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเขียนในประเทศอเมริกาและประเทศต่างๆเริ่มไม่ แน่ใจในอนาคตของธุรกิจจึงจัดให้มีโครงการส่งเสริมการเขียนหนังสือขึ้นใน หลายประเทศโดยร่วมกับสมาคมการเขียน อาทิ สมาคมอุปกรณ์เครื่องเขียน ของอเมริกาสนับสนุนการจัดงาน วันแห่งการคัดลายมือขึ้นทุกๆวันที่ 23 มกราคมของทุกปี

ในประเทศ อังกฤษมีการจัดการแข่งขันการคัดลายมือในระดับประถมโดยหน่วย งานในอังกฤษที่มีชื่อว่า Support and Training inPrep Schools (SATIPS) โดย จัดขึ้นทุกปีเช่นกัน ในประเทศจีนและญี่ปุ่นเองก็เขียนตัวหนังสือเป็นศิลปะ ชนิดหนึ่งที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ฟลอเรย์เขียนในหนังสือของเธอว่าในอนาคตลายมือของคนจะ เลวร้ายลงไปเป็นลำดับและในที่สุดก็จะกลายเป็นสิ่งอ่านยากเหมือนกับคัมภีร์ โบราณ และเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับในสมัยก่อนที่การเขียนหนังสือ ต้องอาศัยอาลักษณ์ที่ฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญเท่านั้น

โน้ตบุ๊ก Dell E6400/E6500 ร้อนแล้วช้า

รายงานข่าวนี้อาจจะทำให้ใครหลายๆ คนต้องหัดมาสังเกตสังกาโน้ตบุ๊กที่ใช้อยู่สักเล็กน้อย โดยเฉพาะผู้ทีเป็นเจ้าของโน้ตบุ๊ก Dell Lattitude E6400 และ E6500 เนื่องจากมีรายงานออกมาว่า ผู้ใช้นับร้อยรายประสบปัญหากับโน้ตบุ๊กรุ่นดังกล่าวทีมักจะมีการทำงานช้าลง จนเกือบแน่นิ่งๆ เมื่อเครื่องเริ่มร้อนเกิน
สำหรับอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อเครื่องมีความร้อนเกิน (overheat) โดย BIOS จะเริ่มลดสมรรถนะการทำงานของเครื่องลงโดยอัตโนมัติจนแทบจะหยุดนิ่งไป เลย (ต่ำกว่า 100MHz) ในขณะที่ผู้ใช้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวบางรายกล่าวว่า และถึงแม้เครื่องจะเย็นลงแล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถใช้งานโน้ตบุ๊กที่ความเร็วสัญญาณได้มากเกิน 50% ของความเร็วสูงสุดที่เครื่องทำได้อยู่ดี ผู้ใช้บางรายได้เคยแจ้งปัญหาดังกล่าวในโฟรัมให้กับเดลล์ได้ทราบตังแต่ต้นปี 2009 แล้ว แต่ดูเหมือนจะถูกเซ็นเซอร์ออกไป รวมถึงลิงค์ไฟล์ PDF ("Performance loss during normal operation in a Dell Latitude E6500 laptop due to process and buss clock throttling") ที่สร้างโดยผู้ใช้ที่อธิบายถึงปัญหาโดยรายละเอียด



อัพเดตล่าสุด ผู้ใช้บางรายอ้างว่า Dell Studio XPS 1645 ประสบปัญหาในลักษณะที่คล้ายๆ กันด้วย แต่ดูเหมือนสาเหตุของปัญหาจะมาจากอะแดปเตอร์ AC ที่จ่ายไฟต่ำเกินไป อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่พบใน Dell E6400 และ E6500 ซึ่งทางบริษัทแจ้งให้ผู้ใช้คอยติดตามอัพเดตได้จากบล็อก Direct2Dell

เคล็ด(ไม่)ลับของการใช้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊กให้ทน

ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของแบตเตอรี่สำหรับโน๊ตบุ๊กได้ถูกพัฒนาขึ้น จากเดิมที่เคยใช้แบตเตอรี่แบบ NiCd เป็นแบบ Lithium ion ที่มีปรัสิทธิภาพมากขึ้นและใช้งานได้นานยิ่งขึ้น แต่การนำโน๊ตบุ๊กไปใช้นอกสถานที่ติดต่อกันเป็นเวลานานทั้งวัน โดยไม่ต้องพกหม้อแปลงชาร์ตไฟไปด้วยนั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก ยังไงเราๆ ท่านๆ ก็ยังคงต้องอยู่กับการต้องแบกโน๊ตบุ๊คและหม้อแปลงซาร์ตไฟไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนกว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพลิกโฉมให้สามารถใช้งานได้นานกว่าที่เป็นอยู่ เราคงต้องมาดูกันว่าเราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองอะไรได้บ้าง กับการใช้โน๊ตบุ๊คที่ใช้แบตเตอรี่ Lithium ion ที่ใช้กันอยุ่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คยืนนานมากยิ่งขึ้น และมีชั่วโมงในการทำงานโดยมาต้องชาร์ตไฟให้มากกว่าเดิม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี และส่วนที่สองจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการยืดชั่วโมงการทำงานโดยไม่ต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้นานยิ่งขึ้น


การใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี
1. ใช้ครั้งแรกต้องชาร์ตอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อย่างแรกที่คุณจะต้องจำไว้เลยทุกครั้งที่ได้โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาก็คือ จะต้องไม่เริ่มเปิดใช้ทันทีที่ชาร์ตแบตเตอรี่พียงพอที่จะเปิดใช้ได้ แต่จะต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มและปล่อยให้ชาร์ตทิ้ไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงติดต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้ชิปภายในตัวแบตเตอรี่มีการตั้งระดับค่าไฟที่ชาร์ตเต็มได้อย่างถูกต้อง และสามารถตัดไฟไม่ให้ชาร์ตได้ทันทีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว
2 . อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดไปเลยเด็ดขาด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยง และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ชาร์ตไฟอีกเป็นเวลานาน เพราะถ้าหากคุณทำเช่นนั้น แบตเตอรี่จะหมดไปถึงขีดระดับขีดสุด จนอาจจะทำให้คุณไม่สามารถชาร์ตไปเข้าไปอีกได้ ดังนั้นควรชาร์ตไฟให้แบตเตอรี่ทันทีเมื่อระดับไฟในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 10% หรือชาร์ตไฟทันทีที่มีโอกาส เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟในแบตเตอรี่ถูกใช้ไปจนหมด
3. อย่าเสียบปลั๊กชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ตลอดเวลา บางท่านอาจจะชอบลืมเสียบปลั๊กชาร์ตไว้ตลอดทั้งคืน หรือไม่เคยดึงปลั๊กออกเลยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน การทำเช่นนี้อาจจะทำให้ระดับการชาร์ตไฟเต็มลดลง เพราะชิปภายในแบตเตอรี่ได้ตัดไฟไม่ให้ชาร์ตตั้งแต่เมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว แต่ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพให้การชาร์ตไฟเข้าลดลงไปเรื่อยๆ
4. อย่าทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป ปกติระดับอุณหภูมิที่แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คจะทำงานได้ดีที่สุดคือระดับอุณหภูมิห้อง หรืออยู่ระหว่างช่วง 10 ถึง 35 องศาเซลเซียล ดังนั้นคุณจึงควรนั่งทำงานในห้องที่มีระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน จริงๆ แล้วคุณสามารถทำงานในห้องที่ร้อนหรือหนาวกว่านั้นได้ แต่ให้จำไว้ว่ายิ่งทำงานในห้องที่มีความร้อนสูงขึ้นเท่าไหร่ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ลดลงไปด้วยเป็นเงาตามตัว
5. อย่าทิ้งเครื่องไว้ในกระโปรงท้ายรถ หรือที่ที่ร้อนเกินไป ตามที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับผลกระทบของความร้อนสะสมกับแบตเตอรี่ ที่ถึงแม้จะมีความร้อนไม่สูงนัก แต่ก็ยังมีผลทำให้อายุการทำงานของแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทิ้งเครื่องไว้ในที่อุณหภูมิสูงกว่านั้นมาก เช่น ในกระโปรงท้านรถที่ทิ้งไว้กลางแดดติดต่อกันเป็นเวลานานก็ย่อมจะมีผลแต่อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อย่างรุ่นแรงเช่นเดียวกัน คุณจึงต้องคอยระมักระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยหลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
6. ถ้าจะไม่ใช้เครื่องนานให้ชาร์ตไฟเก็บไว้อย่างน้อย 40% ถ้าคุณจำเป็นจะต้องทิ้งเครื่องไว้ไม่ใช้งานเป็นเวลานาน เป็นเวลาหลายเดือน เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ หรือ ซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาใช้แทนตัวเก่า ขอแนะนำให้ชาร์ตทิ้งไว้ประมาณ 40-50% ก่อนที่คุณจะทิ้งเครื่องไว้โดยไม่ได้ใช้อีกนาน ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบของการขาดช่วงการชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ให้น้อยที่สุด และมีโอกาสชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ได้สำเร็จเมื่อคุณกลับมาใช้เครื่องอีกครั้ง

เทคนิคการยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่
1. เปิดใช้ฟังก์ชั่น Power Options บนระบบปฏิบัติการวินโดว์ คุณสามารถตั้งค่าการใช้ไฟจากแบตเตอรี่แบบต่างๆ ให้เหมาะสมได้ โดยให้คุณไปเปิดที่ Control Panel และดับเบิ้ลที่ไอคอนของ Power Options แล้วเลือกค่า Power schemes เป็นแบบ Portable/Laptop วินโดวน์ก็จะจัดการตั้งค่าการประหยัดไฟในแบบต่างๆ ตั้งแต่การตั้งเวลาการปิดหน้าจอ, การปิการทำงานของฮาร์ดดิสก์, การเข้าสู่สภาวะ standby และ hibernate โดยคุณสามารถปรับแต่งเวลาให้มากขึ้นหรือน้อยลงตามความต้องการของคุณได้
2. หรี่ความสว่างของจอ LCD หลายท่านคงจะยังไม่ทราบว่าจอ LCD บนโน๊ตบุ๊คเป็นส่วนหนึ่งที่กินไฟมากที่สุดในเครื่องโน๊ตบุ๊ค ดังนั้นการหรี่ความสว่างจอให้ต่ำลงจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการช่วยยืดชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่ โดยให้คุณพยายามปรับลงมาต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำงานได้ ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณทำงานได้นานยิ่งขึ้นเป็นชั่วโมงเลยก็เป็นได้ ส่วนวิธีการปรับนั้น มีความแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของโน้ตบุ๊คที่คุณใช้ ให้คุณลองศึกษาวิธีการปรับจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
3. ปรับลด Color Depth นอกจากการหรี่ความสว่างของจอแล้ว คุณยังสามารถประหยัดอัตราการใช้ไฟลงไปอีกระดับ ด้วยการปรับลด Color Depth หรือการลดมิติของสีที่แสดงบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของซีพียู อันจะมีผลทำให้ซีพียูกินไฟน้อยลงตามไปด้วย โดยให้คุณคลิกขวาที่หน้า Desktop แล้วเลือก Properties เพื่อเข้าหน้าต่าง Display Properties จากนั้นคลิกเลือกแท็ป Settings แล้วคลิกเลือกที่ Color quality จาก Highest(32 bit) เป็น Medium(16 bit)
4. ใช้ฟังก์ชัน hibernate การเข้าสู่สถานะ hibernate คือการปิดเครื่องแบบชั่วคราว โดยที่วินโดว์จะจัดการเก็บงานที่คุณกำลังทำอยู่ลงในฮาร์ดดิสก์ แล้วปิดการทำงานทั้งหมดของเครื่อง ขอแนะนำให้เปิดใช้งานฟังก์ชัน hibernate ทุกครั้งเมื่อคุณคุณคิดว่าจะหยุดใช้งานไปซักพักหนึ่ง หรือเมื่อต้องเคลื่อนยกย้ายเครื่องไปทำงานที่อื่นในระยะเวลาสั้นๆ เพราะนอกจากช่วยประหยัดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้หากแบตเตอรี่ได้หนดไปจริงๆ ในภายหลัง ส่วนวิธีการเข้าสู่สถานะ hibernate ให้คุณศึกษาจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
5. ปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ อีกวิธีการที่จะช่วยยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่คือการปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่คุรไม่ได้ใช้งาน ปิดการทำงานของ Wi-Fi และ Bluetooth ซึ่งกินไฟอยู่ตลอดถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้อยู่ก็ตาม นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดการทำงานของ Modem, LAN รวมไปถึงซีดีไดร์ทได้ด้วย โดยให้คุณเข้าไปที่ System Properties โดยกดปุ่มรูปวินโดว์ค้างไว้แล้วกดปุ่ม Pause Break จากนั้นคลิกที่แท็ป Hardware แล้วคลิกที่การทำงานที่คุณไม่ได้ใช้ ซึ่งจะเปิดหน้าต่าง Properties ของการทำงานนั้นขึ้นมา ให้คุณเลือก Do not use this device(disable) จากช่อง Device usage เพื่อหยุดการทำงานในส่วนนั้นไป
6. ปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน การปิดโปรแกรมต่างๆ ที่คุณไม่ได้ใช้ และเลือกเพียงโปรแกรมที่คุณต้องการใช้จริงๆ เท่านั้น การทำงานเช่นนี้จะเป็นการลดการทำงานของซีพียูลง ซึ่งก็จะมีผลทำให้การกินไฟของซีพียูลดลงตามไปด้วย วิธีการปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณกดปุ่ม Ctrl, Alt และ Del พร้อมกัน เพื่อเปิดหน้าต่าง Windows Task Manager และคลิกที่แท็ป Processes คลิกเลือกโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการใช้แล้วคลิกปุ่ม End Process เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมนั้น

ดูดวิดีโอจากเน็ตเก็บไว้ดูเล่น

การเติบโตอย่างรวดเร็วของการเผยแพร่ภาพวิดีโอสามรพัดบนอินเตอร์เน็ตได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการถ่ายภาพวิดีโอได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งจากกล้องวิดีโอที่มีราคาไม่แพงในปัจจุบันหรือจากมือถือที่ได้รับความนิยมสุดๆ จากกล้องดิจิทัลที่รองรับการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ รวมถึงการเชื่อมต่อสู่อินเตอร์เน็ตที่เร็วขึ้น เว็บไซต์สำหรับโพสต์และดูภาพวิดีโอจึงผุดขึ้นเป็นว่าเล่นนับหลายสิบแห่ง

แม้กระทั่งเว็บไซต์ค้นหาระดับโลกอย่าง Google ก็เข้าร่วมวงกับเขสด้วย การเปิดตัว Google Video ตามมาด้วยการซื้อเว็บไซต์วิดีโอชั้นนำอย่าง YouTube ไปอยู่ในมือ อย่างไรก็ตามเว็บไซต์เหล่านี้มีข้อจำกัดที่เหมือนๆ กันคือ ดูแต่ตาแต่ไม่ให้ดาวน์โหลดมาเก็บ วิดีโอต่างๆ สามารถเปิดชมผ่านเว็บไซต์เท่านั้น แต่คุณไม่สามารถดาวน์โหลดมาเก็บที่เครื่องเพื่อเปิดดูภายหลังได้
แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ก็หมดไป เมื่อมีผู้พัฒนาเว็บไซต์ KeepVid เพื่อให้คุณสามารถดาวน์โหลดวิดีโอจากเว็บไซต์กว่า 45 แห่ง มาเก็บไว้เปิดดูได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
ขั้นตอนการดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอ
1. เปิดเข้าไปยังเว็บเพจแสดงวิดีโอจาก YouTube, Google Video หรือที่ที่คุณต้องการดาวน์โหลด จากนั้นก๊อบปี้ URL ด้านบน
2. เปิดเว็บไซต์ http://keepvid.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คุณสามารถดาวน์โหลดวิดีโอได้ตามต้องการ จากนั้นเพสต์ URL ที่ก๊อบปี้มาไว้ในช่องด้านบนและเลือกเว็บเว็บไซต์ที่เก็บไฟล์วิดีโอนั้น ตามด้วยการคลิกปุ่ม Download
3. ลิงก์สำหรับการดาวน์โหลด(Download Link) จะปรากฏขึ้นให้คุณคลิกเพื่อทำการดาวน์โหลดวิดีโอ หรือจะก๊อบปี้ลิงค์แล้วใช้โปรแกรมดาวน์โหลดของคุณเช่น GetRight, FlashGet เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ คุณจะได้ไฟล์ชื่อ get_video.flv ก็เป็นอันเรียบร้อย
คุณสามารถเปิดดูไฟล์ในฟอร์แมต flv ที่ดาวน์โหลดมาโดยตรงด้วยโปรแกรม FLVPlayer ซึ้งแจกให้ใช้งานฟรี ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.download.com/FLVPlayer

มองแรมให้เต็ม 4 GB ด้วย Vista 32 บิต

สาเหตุที่วินโดวส์ไม่สามารถมองเห็นหรือใช้งานแรมได้เต็ม 4 GB นั้นก็เนื่องมาจากวินโดวส์ไม่ได้ใช้แอดเดรสทั้ง 32 บิตไปกับแรมของเครื่องทั้งหมด แต่มันยังต้องใช้บางส่วนเพื่อไปอ้างอิงแอดเดรสกับหน่วยความจำของอุปกรณ์บางชนิด เช่น ที่เห็นหลักๆ ก็คือกราฟิกการ์ด ซึ่งเดี๋ยวนี้นั้นมีแรมมาให้บนการ์ดเองอย่างต่ำก็ 256 MB เข้าไปแล้ว หรือ บางรุ่นก็มีขนาดใหญ่ถึง 1 GB เลยที่เดียว ซึ่งหน่วยความจำบนการ์ดเหล่านี้จำเป็นต้องถูกอ้างอิงจากระบบปฏิบัติการด้วย ไม่อย่างนั้นระบบปฏิบัติการจะไม่สามารถส่งข้อมูลที่เป็น Frame Buffer ไปยังกราฟิกการ์ดได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บางเครื่องมองเห็นแรมแค่ 3.5 GB บ้าง หรือ บางเครื่องมองเห็นแค่ 3 GB บ้าง ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดคือกลับไปใช้การ์ด sis 6326 รุ่นคลาสสิกพร้อมแรมบนการ์ด 8 MB เพื่อไม่ให้วินโดวส์ต้องเสียแอดเดรสไปกับการอ้างอิงแรมการ์ดมากนัก

แต่วิธีที่กล่าวมานั้นก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถใช้กับทุกเครื่องได้โดยเฉพาะเครื่องโน้ตบุ๊ก ดังนั้นผมจึงนำเอาวิธีการที่สุดยอดกว่ามาฝากกันด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล ซึ่งเป็นวิธีที่เราสามารปลดล็อกแอดเดรสอีก 4 บิตของวินโดวส์ออกมาใช้งานได้เพื่อให้วินโดวส์ที่เราใช้งานกลายเป็นวินโดวส์ 36 บิตนั่นเอง เมื่อวินโดวส์ของเรามีแอดเดรสที่มากถึง 36 บิตแล้วก็เท่ากับว่า 236=68,719,476,736 หรือ ประมาณ 60-70 กิกะไบต์ เหลือเฟือทีเดียว โดยที่ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะต้องถูกแบ่งไปอ้างอิงให้กับกราฟิกการ์ดเท่าไหร่
วิธีการที่เราจะใช้นั้นเป็นเทคนิคที่เรียกว่าการเปิดโหมดอ้างอิงแอดเดรสหน่วยความจำแบบ PAE (Physical Address Extension) ซึ่งเป็นวิธีการที่ระบบปฏิบัติการใช้อ้างอิงหน่วยความจำแบบใหม่ช่วยให้เราสามารถขยายขีดความสามารถของระบบขึ้นไปได้อีก 4 บิตนั่นเอง แต่นี้ก็ต้องมีเงื่อนไขอยู่ว่าซีพียูที่คุณใช้งานอยู่นั้นจะต้องสามารถรองรับการทำงานแบบ 64 บิตด้วย
การเปิดโหมด PAE นั้นก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เข้าไปยัง Command Line แต่คุณจำเป็นต้องรันด้วยสิทธิ์ของ administrator เท่านั้น จึงต้องเขาไปที่ Start Menu > Accessories > Command Prompt แต่แทนที่จะคลิกซ้ายเพื่อรันธรรมดา ให้คลิกขวาแล้วเลือก run as administrator แทน เมื่อเข้าถึงหน้าต่าง DOS แล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง

BCDedit /set nx AlwaysOff
BCDedit /set PAE forceenable

ซึ่งคำสั่งนี้จะเป็นการบังคับให้ระบบปฏิบัติการปิดฟังก์ชันการทำงานของ DEP (Data Execution Prevention) และเปลี่ยนไปใช้วิธีการอ้างอิงแอดเดรสของหน่วยความจำแบบใหม่ทันทีหลังจากเราได้ทำการรีสตาร์ตเครื่อง ซึ่งเหตุผลที่เราจำเป็นจะต้องไปปิดการทำงานของ DEP ก่อนก็เพราะว่า PAE และ DEP นั้นมีความสัมพันธ์กัน และ PAE จะถูกปิดการทำงานโดยอัตโนมัติหาก DEP ถูกปิด ดังนั้นเราจึงได้สั่ง DEP ปิดตัวเองไปตลอดเลย แล้วบังคับให้เปิดโหมด PAE แทน
การทำงานในโหมด PAE เอง แม้ว่าจะสามารถทำให้คุณสามารถทำให้คุณมองเห็นแรมได้เต็ม 4 GB จริง แต่นั่นก็ต้องยอมแลกมาด้วยการทำงานที่ช้าลงเนื่องจากจามปกติ Vista จะใช้เวลาในการทำ page translate แค่ 2 รอบเท่านั้น แต่ด้วยวิธีการใหม่จะต้องใช้ถึง 3 รอบ ดังนั้นคุณอาจจะได้แรมเพิ่มขึ่นมาก็จริง แต่ความเร็วอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คิดก็เป็นไปได้เช่นกัน

เหตุผลที่คุณควรใช้ไฟร์วอลล์คอมพิวเตอร์

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีไฟร์วอลล์เปรียบได้กับการที่คุณเสียบกุญแจ ทิ้งไว้ในรถยนต์ของคุณ แล้วเข้าไปยังร้านค้า โดยเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ และไม่มีการล็อคประตู แม้ว่าคุณจะเข้าไปในร้านค้านั้น แล้วออกมาโดยที่ยังไม่มีใครทันสังเกตเห็นคุณ แต่บางคนอาจใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ในอินเทอร์เน็ต แฮกเกอร์จะใช้โค้ดที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจันเพื่อค้นหาประตูที่ไม่ได้ล็อคไว้ ซึ่งก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีการป้องกัน ไฟร์วอลล์จะสามารถช่วยป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณจากการคุกคามเหล่านี้ รวมทั้งการโจมตีการรักษาความปลอดภัยอื่นๆ

แฮกเกอร์สามารถทำอะไรได้บ้าง ผลที่เกิดขึ้นอยู่กับลักษณะของการโจมตี ในขณะที่แฮกเกอร์บางคนอาจกระทำการบางอย่างเพียงเพื่อก่อกวนให้เกิดความรำคาญ เท่านั้น แต่บางรายอาจตั้งใจทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งในกรณีนี้ อาจเป็นความพยายามที่จะลบข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ทำให้ระบบการทำงานเสียหาย หรือขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่าน หรือหมายเลขบัตรเครดิต แฮกเกอร์บางรายไม่มีเจตนาอื่น นอกจากการเจาะเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่ เพียงพอ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจันอาจสร้างความตกใจให้กับคุณ แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงในการติดไวรัสดังกล่าวได้ด้วยการใช้ไฟร์วอลล์


วิธีการเลือกไฟร์วอลล์
ไฟร์วอลล์ จะตรวจสอบข้อมูลที่มาจากหรือส่งไปยังอินเทอร์เน็ต โดยจะแยกและยกเว้นข้อมูลที่มาจากตำแหน่งที่อันตรายหรือน่าสงสัย ถ้าคุณตั้งค่าไฟร์วอลล์ของคุณอย่างเหมาะสม แฮกเกอร์ที่ค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ จะไม่พบเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ


ประเภทของไฟร์วอลล์ที่มีอยู่โดยทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเภทขั้นตอนแรกในการเลือกไฟร์วอลล์คือการพิจารณาว่าไฟร์วอลล์ประเภทใดที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ โดยดูจากตัวเลือกต่อไปนี้

- ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์

- ฮาร์ดแวร์เราเตอร์

- เราเตอร์ไร้สาย


ก่อนเริ่มตัดสินใจ ให้คุณตอบคำถามต่อไปนี้ (แล้วบันทึกคำตอบของคุณ)
คอมพิวเตอร์ที่จะใช้ไฟร์วอลล์มีทั้งหมดกี่เครื่อง คุณใช้ระบบปฏิบัติการอะไร (รุ่นของ Microsoft Windows®, Macintosh หรือ Linux) เพียงเท่านี้ คุณก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นคิดว่าไฟร์วอลล์ประเภทใดที่คุณจะใช้ คุณมีตัวเลือกอยู่หลายตัวเลือก โดยแต่ละตัวเลือกก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน


Internet Connection Firewall (เฉพาะ Windows Xp เท่านั้น)
Internet Connection Firewall (ICF) เป็นโปรแกรมที่ติดมากับ Windows XP โดยไม่ใช่โปรแกรมที่ทำงานแบบสแตนด์อโลน หรือใช้งานจาก Windows รุ่นอื่นๆ นอกจาก Windows XP หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ (เช่น Apple Macintosh หรือ Linux)

ข้อดี
- ซอฟต์แวร์นี้เป็นชุดซอฟต์แวร์ที่ติดมากับ Windows XP
- คุณไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์

ข้อเสีย
- คุณไม่สามารถใช้โปรแกรมนี้กับคอมพิวเตอร์หลายเครื่องได้
- มีใน Windows XP เท่านั้น


ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์
ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์จะทำงานกับ Windows 98, Windows ME และ Windows 2000 ได้ดี ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละ เครื่อง ไฟร์วอลล์เหล่านี้ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ต่างๆ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ใน Windows XP เนื่องจากใน XP มีไฟร์วอลล์ติดตั้งมาให้แล้ว

ข้อดี
- ไม่ต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม
- ไม่จำเป็นต้องเดินสายคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม
- ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง

ข้อเสีย
- ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: การใช้ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์โดยส่วนใหญ่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย
- ก่อนเริ่มใช้งานอาจต้องมีการติดตั้งและตั้งค่า
- จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง


ฮาร์ดแวร์เราเตอร์
ฮาร์ดแวร์เราเตอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับเครือข่ายภายในบ้านที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

ข้อดี
- โดยปกติ ฮาร์ดแวร์เราเตอร์จะมีพอร์ตเครือข่ายอยู่ 4 พอร์ตเพื่อใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้าด้วยกัน
- ฮาร์ดแวร์เราเตอร์สามารถให้บริการไฟร์วอลล์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง

ข้อเสีย
- จำเป็นต้องมีการเดินสาย ซึ่งจะทำให้พื้นที่วางเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่น่าดู


เราเตอร์ไร้สาย
ถ้าคุณมีหรือวาง แผนที่จะใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คุณจำเป็นต้องใช้เราเตอร์ไร้สาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่มีไฟร์วอลล์ติดมากับเราเตอร์ คุณจึงต้องซื้อไฟร์วอลล์แยกต่างหาก

ข้อดี
- เราเตอร์ไร้สายช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เครื่อง PDA และเครื่องพิมพ์ได้โดยไม่ต้องใช้สาย
- เราเตอร์ไร้สายใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเข้ากับอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายได้เป็นอย่างดี

ข้อเสีย
- เราเตอร์ไร้สายกระจายข้อมูลโดยใช้คลื่นวิทยุ ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นที่อยู่ภายนอกบ้านของคุณสามารถดักข้อมูลนั้นไปได้ (โดยใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม)
- คุณจำเป็นต้องใส่การ์ดเครือข่ายไร้สายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ เราเตอร์ไร้สาย ดังนั้นคุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม
- โดยส่วนใหญ่จะไม่มีไฟร์วอลล์ติดมากับเราเตอร์ คุณอาจต้องซื้อไฟร์วอลล์แยกต่างหาก

วิธีป้องกันและการดูแลรักษา Printer Inkjet

Inkjet Printer เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หมึกน้ำในการพิมพ์ ภาพที่ออกมาจะสวยสมจริงมาก โดยเฉพาะถ้าใช้ความละเอียดในการพิมพ์สูงกับ Glossy Paper งานพิมพ์ที่ออกมาจะเหมือนกับภาพถ่าย แต่มีข้อเสียที่หัวพิมพ์คือ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะหัวพิมพ์ค่อนข้างบอบบาง และหมึกที่ใช้พิมพ์เป็นหมึกน้ำซึ่งสามารถระเหยได้ง่าย ฉะนั้นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ การอุดตันของหัวพิมพ์

วิธีการป้องกันการอุดตันของหัวพิมพ์

- เครื่อง Printer ควรถูกใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
- ถ้าไม่มีการใช้งาน ควรเปิดเครื่อง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อให้หัวพิมพ์ตรวจสอบสถานะน้ำหมึกภายในหัวพิมพ์ (หัวพิมพ์จะทำการฉีดหมึกใหม่เข้าไปและไล่น้ำหมึกเก่าออกซึ่งอาจจะเป็นการ สิ้นเปลืองน้ำหมึก แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าของหัวพิมพ์ในการซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่จะคุ้มกว่า)
- ก่อนนำตลับหมึกใส่ลงไปในเครื่อง ควรเขย่าตลับให้น้ำหมึกมารวมอยู่ด้านที่หัวพิมพ์จะเจาะเข้าไปเสียก่อน เพื่อให้หัวพิมพ์สามารถตรวจสอบหมึกภายในตลับได้ง่าย และเป็นการป้องกันการเกิดปัญหากับหัวพิมพ์ด้วย (เพราะเมื่อหัวพิมพ์เจาะเข้าไปแล้วดูดไม่เจอน้ำหมึกอากาศจะเข้าไปแทนน้ำหมึก ในช่องทางเดินหมึกซึ่งจะเป็นผลเสียต่อหัวพิมพ์ได้)

วิธีการดูแลรักษา Printer ให้ใช้งานได้ดีอยู่ตลอดเวลา

- ควรตั้งเครื่องพิมพ์ในบริเวณที่มีฝุ่นละอองน้อย และหากมีผ้าคลุมเครื่องพิมพ์เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขณะไม่ได้ใช้งานจะดีที่สุด
- ไม่ควรปล่อยให้เครื่องพิมพ์ไม่มีตลับหมึกในเครื่อง เพราะจะทำให้อากาศเข้าไปทำให้เกิดปัญหาหัวพิมพ์อุดตันได้ ควรสำรองตลับหมึก และเปลี่ยนทันทีเมื่อเครื่องพิมพ์แสดงไฟสถานะหมึกหมดติดสว่างเป็นสีแดง
- หากไม่มีการใช้งานเครื่องพิมพ์เป็นระยะเวลานาน ควรมีการเปิดเครื่องพิมพ์อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ สังเกตไฟแสดงสถานะเครื่องเปิดจะกระพริบ แล้วรอจนกระทั่งติดสว่าง จากนั้นค่อยปิดเครื่อง (เพื่อให้เครื่องพิมพ์ตรวจสอบระบบการทำงาน และระบบฉีดหมึกของหัวพิมพ์) มิฉะนั้นอาจทำให้หัวพิมพ์เกิดการอุดตันได้

เทคโนโลยีกริดคืออะไร?

เทคโนโลยีกริด คือเทคโนโลยีในการนำเอาพลังในการประมวลผลในด้านต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ ที่กระจายตัวกันอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต มาใชงานร่วมกันเสมือนหนึ่งว่าระบบดังกล่าวเป็นระบบเดียวกัน หรืออาจเรียกได้ว่าระบบกริดได้สร้างภาพขององค์กรเสมือน (Virtual Organization) ให้กับผู้ใช้


เทคโนโลยีกริดได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นตั้งแต่ราวปี 1990 โดยได้รับแรงผลักดันจากทั้งภาคการศึกษา ธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยเชื่อกันว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นก้าวย่างถัดไปของการพัฒนาเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต เหมือนที่เทคโนโลยี www ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของโลก IT มาก่อนหน้านี้แล้ว

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีกริดในโลก ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหลายๆฝ่าย ทั้งฝ่ายภาครัฐ ได้แก่ภาคการศึกษา วิจัย โดยเฉพาะงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้พลังในการประมวลผลที่สูงมาก ซึ่งในปัจจุบันนานาประเทศได้มีการจัดตั้งโครงการกริดแห่งชาติขึ้น เพื่อดำเนินการด้านการสนับสนุนเทคโนโลยีกริดภายในประเทศ

ในส่วนของ ภาคธุรกิจ ได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกริดโดยเน้นไปที่การเข้าถึงข้อมูล และการทำงานร่วมกันระหว่างแอพลิเคชั่นต่าง Platform กันโดยอาศัยเทคโนโลยีกริดเป็นตัวกลางเป็นหลัก

จับผิดความเร็วอินเทอร์เน็ต

www.speedtest.or.th
เห็นโฆษณามากมายกับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่วันนี้ไปไกล ถึง 12 Mbps

ความ เร็วขั้นเทพ ถึงขนาดส่งช้างไปได้ทั้งตัวแบบนี้...แต่บางครั้งก็ยังทำให้ผู้บริโภคอย่าง เรา ๆ ค้างคาใจ กับปัญหากระตุกหรือช้าไม่ทันใจ พาลสงสัยว่าเงินที่เสียเพิ่มไปนั้น ได้ความเร็วเพิ่มจริงหรือไม่

ปัญหานี้..จึงกลายเป็นปัญหาสำคัญของบรรดาผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ซึ่ง นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) หน่วยงานในสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) บอกว่าปัจจุบันผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีประมาณ 13.6 ล้านคน ที่ผ่านมา สบท.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค เกี่ยวกับบริการอินเทอร์เน็ต ปรากฏว่า เรื่องประสิทธิภาพและความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ใช้ไม่เป็นไปตามที่ผู้ให้ บริการโฆษณา เป็นเรื่องที่ถูกร้องเรียนเข้ามามากที่ สุดถึง 90%

ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ใช้บริการตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต จากเว็บไซต์ต่าง ๆ มีประมาณ 80,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งการตรวจสอบเหล่านี้ เป็นไปแบบชั่วขณะไม่มีการเก็บข้อมูลหรือประมวลผลหาสาเหตุที่แท้จริง

สบท.จึงร่วมมือกับ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทยจัดทำ “โครงการสำรวจและทดสอบคุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ต ปี 2552”

ผู้บริโภคสามารถทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ใช้ผ่าน www.speedtest.or.th เรียกว่าเป็นศูนย์กลางตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต

ด้าน พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย บอกถึงหลักการทำงานของระบบทดสอบความเร็วนี้ว่า เมื่อผู้บริโภคเข้าทดสอบผ่านเว็บ ระบบจะทดสอบกับผู้ให้บริการรายนั้นทันที แบบเรียลไทม์

โดยระบบจะเปิดโปรแกรมขนาดเล็ก (Java applet) ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ทดสอบ โปรแกรมดังกล่าวจะทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลขนาดเล็กไปยังเครื่องแม่ข่าย ของผู้ให้บริการรายนั้น ๆ โดยอัตโนมัติ ซึ่งปัจจุบันสมาคมได้วางเซิร์ฟเวอร์ไว้ที่ผู้ให้บริการ 9 รายจำนวน 11 แห่งในประเทศไทยและอีก 4 แห่งในต่างประเทศ และจะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลกลาง

พ.ต.อ.ญาณพล บอกอีกว่า การทดสอบนี้จะเป็นการทดสอบความเร็ว ณ ช่วง เวลาใด ช่วงเวลาหนึ่ง ความเร็วที่ตรวจสอบได้ อาจจะไม่เท่ากันใน ทุกครั้งที่ทดสอบ เนื่องจากมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อความเร็ว เช่น ปัญหาคอขวด ทำให้การรับส่งข้อมูลไปกระจุกตัวอยู่ทำให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลลดลง หรืออุปกรณ์เน็ตเวิร์กพวกเร้าท์เตอร์ ถูกใช้งานจนเกินประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล หรือช่วงเวลาในการใช้งานที่หนาแน่นก็ทำให้ความเร็วของการเชื่อมต่ออินเทอร์ เน็ตลดลงได้

โครงการนี้ ทั้ง สบท.และสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย บอกว่าไม่ใช่การจับผิด แต่ต้องการเป็นระบบกลางที่น่าเชื่อถือ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการให้ บริการแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้บริการอินเทอร์เน็ต ต่าง ๆ

หากมีปัญหาเรื่องคุณภาพบริการจริง จะมีการส่งต่อข้อมูลให้กับ กทช. และคงต้องกลับมาดูเรื่องมาตรฐานการให้ข้อมูลผู้บริโภคด้วย ว่า...ไม่ใช่แค่ราคาคุย !!!

ช่วยกันคลิกเข้าไปเทสต์กันหน่อย แล้วอีก 3 เดือนมาดูกันว่า คุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้านเราเป็นอย่างไร !!!!.

Ubuntu 9.10 ใช้เวลาบูต 5 วินาทีบน SSD

Ubuntu 9.10 "Karmic Koala" ที่จะออกช่วงปลายเดือนตุลาคม ออกรุ่น Alpha 6 เมื่อสัปดาห์ก่อนและปรับปรุงเรื่องเวลาที่ใช้บูตเครื่องเป็นอย่างมาก

ทีมงานของ Ars Technica ทดสอบบน Dell Inspiron 1420n พบว่าใช้เวลาเพียง 22 วินาที แต่ทีเด็ดอยู่ที่สถิติของ Canonical ที่ทดสอบกับ SSD และใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น!!!

เทคนิคสำคัญที่ใช้ร่นเวลาการบูตคือ sreadahead ซึ่งอ่านไฟล์ที่จำเป็นต่อการบูตล่วงหน้า และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อใช้ SSD ส่วนเทคนิคอีกอันที่ Ubuntu ใช้คือ Upstart ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่รุ่น 6.10 แต่มาปรับใช้อย่างจริงจังในรุ่นนี้ ทาง Canonical ตั้งเป้าว่า Ubuntu 10.04 จะต้องใช้เวลาบูตไม่เกิน 10 วินาที

ใครลองแล้วฝากช่วยยืนยัน ใครยังไม่ได้ลอง รออ่านรีวิวหลังตัวจริงออก

Dead Pixel บนจอแอลซีดีแก้ไขได้

จุดสีดำปริศนาบนแอลซีดีที่ถูกเรียกว่า “Stuck Pixel” หรือ “Dead Pixel”

จุดพิกเซลที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่นเป็นสี่เหลี่ยม หรือวงกลม ตามประเภทของจอ (เครดิต: Wikipedia)

ภาพจุดพิกเซลสีแดง เขียว และน้ำเงินของ LCD Monitor (เครดิต Wikipedia)

การใช้ซอฟต์แวร์แก้ปัญหา Dead Pixel

หลายคนเซ็งเมื่อเห็น"จุดสีดำ"ที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออกซะทีบนหน้า จอแอลซีดีคู่ใจ วิกฤตจุดดำบนจอแอลซีดีถูกเรียกว่า “Dead Pixel” บ้าง “Stuck Pixel” บ้าง ต่อไปนี้คือวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่อาจทำให้จุดดับบนจอหายไปโดยที่คุณไม่ต้อง ส่งซ่อมให้ยุ่งยาก

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตจอ LCD จะเดินทางมาไกลจนกระทั่งมี “วุฒิภาวะ” ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม และกระบวนการผลิต LCD Panel ในปัจจุบันก็มีความแม่นยำสูงมาก แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าจอ LCD นั้นประกอบไปด้วยพิกเซลนับแสนหรือนับล้านจุด จึงเป็นไปได้ที่จุดพิกเซลจำนวนหนึ่ง (จากจุดนับล้านจุด) จะเสียหายจากการผลิต หรือเสื่อมไปก่อนเวลาอันควร ในขณะที่จุดพิกเซลที่เหลือยังคงทำงานได้ตามปกติ

คำว่า “พิกเซล” (Pixel) เป็นคำผสมที่เกิดจากคำว่า Pix (“pictures”) และ el (“element”) หมาย ถึงหน่วยเล็กที่สุดของภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ หรือบนกระดาษ หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นหนึ่งใน “จุด” เล็กๆ หลากสีที่เรียงชิดติดกันจนเป็นภาพที่เราสามารถรับรู้ได้นั่นเอง จอภาพที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นจอ CRT, LCD หรือ Plasma ต่างก็ประกอบไปด้วยจุด “พิกเซล” สีแดง น้ำเงิน และเขียว เรียงชิดติดกันเป็นจำนวนมหาศาลทั้งสิ้น และจุดต่างๆ เหล่านี้ก็จะดับและสว่างตามคำสั่งของวงจรควบคุม เพื่อเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา และเมื่อประกอบกับจุดสีต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก็จะทำให้เกิดภาพที่เรามองเห็นได้บนจอแสดงผล
จุดพิกเซลอาจมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่น สี่เหลี่ยม หรือวงกลม ขึ้นอยู่กับประเภทของจอ
เจ้าของจอ LCD หลายคนเคยพบปัญหา Stuck Pixel หรือ Dead Pixel อาการของปัญหานี้มี 2 แบบ ได้แก่

อาการแบบที่ 1: เมื่อจอแสดงภาพสีดำสนิท จะสังเกตเห็นว่าจุดบางจุดบนจอสว่างอย่างถาวร โดยจุดที่สว่างอาจเป็นสีแดง น้ำเงิน หรือเขียว ก็ได้ และถึงแม้จอจะเปลี่ยนไปแสดงภาพสีอื่นๆ จุดสว่างดังกล่าวก็ยังสว่างค้างเป็นสีเดิมอยู่ เราเรียกอาการนี้ว่า “Stuck Pixel” แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “Stuck Pixel” คือ “Dead Pixel” ซึ่งจริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อาการแบบที่ 2: จุดบางจุดบนจอดับสนิทอย่างถาวร ไม่ว่าจอจะแสดงภาพใดอยู่ก็ตาม ซึ่งเราเรียกพิกเซลที่มีอาการนี้ว่า “Dead Pixel” หรือพิกเซลที่ “ตาย” แล้วนั่นเอง บทความนี้จะนำเสนอวิธีการแก้ไข “Stuck Pixel” เท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการแก้ไข “Dead Pixel”

วันนี้ LCDSPEC ขอนำเสนอเทคนิคต่างๆ ในการกำจัด Stuck Pixel ครับ แต่ ก่อนจะศึกษาเทคนิคการกำจัด Stuck Pixel คุณควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามขั้น ตอนในบทความนี้เสียก่อน ได้แก่

- ถ้าผู้ผลิตจอ LCD ของคุณกำหนดเงื่อนไขการรับประกันที่ครอบคลุมถึง Stuck/Dead Pixel อยู่แล้ว เมื่อจอของคุณเกิด Stuck pixel ขึ้น คุณควรปรึกษาบริษัทผู้ผลิตเสียก่อน และไม่ควรซ่อม Stuck pixel ด้วยตนเอง

- เทคนิคการกำจัด Stuck Pixel เป็นเทคนิคที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และเป็นเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ในหลายๆ กรณี LCDSPEC จะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจอ LCD จากการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ในบทความนี้

- หลีกเลี่ยงการเปิดจอ LCD เพื่อดูอุปกรณ์ภายใน เพราะจะทำให้จอของคุณสิ้นสุดการประกันจากบริษัทผู้ผลิตโดยทันที

- หากคุณใช้เทคนิคที่ต้องใช้น้ำ กรุณาหลีกเลี่ยงการทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ของจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์เปียกน้ำ

- หลายๆ คนกล่าวว่าการใช้แรงกดบนเม็ด Pixel ของจอ LCD แล้วจะทำให้จอ LCD เสียหายมากขึ้นกว่าเดิม (ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ก็ตาม) หากคุณปฏิบัติตามวิธีในบทความนี้อย่างเคร่งครัด ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายดังกล่าวได้

- จอ LCD ประกอบไปด้วยผลึกแก้วหลายๆ ชั้น (layer) ซึ่งมีความละเอียดและบอบบางเป็นอย่างมาก การใช้แรงกด หรือแตะ อาจทำให้ชิ้นส่วนบอบบางเหล่านั้นเกิดความเสียหายได้ คุณจึงต้องยอมรับความเสี่ยงดังกล่าวหากคุณต้องการปฏิบัติตามขั้นตอนที่นำเสนอในบทความนี้

หากคุณยอมรับทุกข้อที่กล่าวมา ต่อไปนี้คือ 4 เทคนิคเพื่อการกำจัด Stuck Pixel ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ได้แก่ การใช้ซอฟต์แวร์ การใช้แรงกด การแตะหรือเคาะเบาๆ และการใช้ความร้อน

##เทคนิคการใช้ Software

เทคนิค นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า Stuck Pixel สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อมันถูกเปิด/ปิด ซ้ำๆ กันอย่างรวดเร็ว คุณควรลองใช้เทคนิคนี้ก่อนเป็นอันดับแรก และหากเทคนิคนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้คุณได้ จึงค่อยเปลี่ยนไปปฏิบัติตามเทคนิคถัดไป เทคนิคการใช้ Software นี้ใช้ได้ดีกับ LCD Monitor แต่ก็ไม่ผิดกติกาอะไรหากคุณจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปต่อกับ LCD TV แล้วรัน Software เหล่านี้

คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้จาก Website ต่อไปนี้:

JScreenFix – เว็บไซท์ที่ใช้ Java Applet ซึ่งเป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่จะช่วยขจัด Stuck pixel โดยการเปิด/ปิด พิกเซลแต่ละจุดบนจอเป็นจำนวน 60 ครั้งต่อวินาที
JeffPatch.com blog – สำหรับคนที่ใช้เครื่อง Mac ที่ Blog นี้ก็มีวีดีโอภาพกระพริบจาก Sony ที่อาจช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้
DPT 2.20 – โปรแกรมบน Windows ที่สามารถช่วยให้คุณค้นหา Stuck pixel ได้ง่ายขึ้น และมี “Pixel Exerciser” ที่ช่วยให้ Pixel ที่เสียหายกลับมาทำงานได้อย่างเดิม
UDPixel 2.1 – ฟรีแวร์บน Windows ที่ช่วยคุณค้นหา และแก้ไข Stuck Pixel
LCD Scrub – Screensaver สำหรับเครื่อง Mac ที่แสดงภาพกระพริบบนจอ เพื่อช่วยแก้ไข Stuck Pixel และแก้ไขอาการ Burn-in
##เทคนิคการใช้แรงกด

1.ปิดจอ LCD ของคุณ
2.นำผ้านิ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ (ถ้าใช้น้ำอุ่นจะได้ผลดีขึ้น และห้ามใช้ผ้าเปียก) มาห่อบริเวณหัวปากกาลูกลื่น, ดินสอ, ไขควงเล็กๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีหัวแหลมคมที่จะทำให้จอ LCD เป็นรอยได้ เราขอแนะนำให้ใช้ปากกา Stylus ที่มากับเครื่อง PDA หรือ Smartphone สำหรับการนี้
3.ใช้ยาง หรือเชือกเส้นเล็กๆ มัดผ้าที่ห่อบริเวณหัวปากกาไว้ เพื่อไม่ให้ผ้าหลุดออกมาในขณะที่คุณนำปากกาไปกดบนจอ
4.นำ ปากกาที่เตรียมไว้ไปกดเบาๆ ที่ Stuck Pixel โดยพยายามกดให้ตรงกับจุด Pixel ที่เสียหายมากที่สุด การกดผิดพลาดอาจทำให้จุด Pixel ที่อยู่ข้างเคียงเสียหายตามไปด้วย
5.ระหว่างที่กด Stuck Pixel ให้กดปุ่ม Power ของจอ LCD เพื่อเปิดให้จอทำงาน
6.นำปากกาออกจากจอ แล้วตรวจสอบดูว่า Stuck Pixel หายเป็นปกติหรือไม่ หากยังไม่หายเป็นปกติ ให้ทำตามขั้นตอนข้อ 4 และ 5 อีกครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดให้มากขึ้นทีละนิด

##เทคนิคการแตะ/เคาะเบาๆ ที่ Stuck Pixel

1.นำจอ LCD มาต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และเปิดจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์
2.ใช้ โปรแกรมแต่งภาพสร้างภาพสีดำล้วน ที่มีขนาดเท่ากับจอ LCD ของคุณ เช่นหากคุณใช้จอ Full HD ก็ควรสร้างไฟล์ภาพสีดำที่มีขนาด 1,920 x 1,080 พิกเซล เป็นต้น แล้วนำภาพสีดำที่สร้างขึ้นมาแสดงแบบเต็มจอ ซึ่งการแสดงภาพสีดำนี้จะทำให้คุณสามารถมองเห็น Stuck pixel ได้อย่างชัดเจน
3.ใช้ ปากกาที่มีไม่มีหัวแหลมคม หรือใช้ Stylus ที่มากับเครื่อง PDA/Smartphone แตะเบาๆ ที่ Stuck Pixel ไม่ควรใช้แรงกดมากเกินไป แต่แรงกดนั้นจะต้องมากพอที่จะทำให้เม็ดพิกเซลที่ถูกแตะกระพริบแสงสีขาวๆ ในขณะที่ถูกแตะ หรือกล่าวได้ว่าหากเม็ดพิกเซลไม่กระพริบแสงสีขาว แสดงว่าคุณยังแตะมันไม่แรงพอนั่นเอง
4.พยายามแตะเป็นจังหวะอีก 5-10 ครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดทีละนิด จนกว่าอาการ Stuck Pixel จะหายไป
5.นำ ไฟล์รูปภาพสีขาวล้วนแบบเต็มจอมาแสดง แล้วดูว่าอาการ Stuck Pixel หายไปหรือไม่ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำให้ Pixel ข้างเคียงเกิดความเสียหาย

##เทคนิคการใช้ความร้อน

เทคนิค นี้มีประโยชน์ในกรณีที่เม็ด pixel กลายเป็นสีขาวหรือสีดำในบริเวณกว้าง และสามารถใช้ได้ดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ค (แต่ก็ใช้ได้กับจอ LCD ทั่วไปได้เช่นกัน) การใช้เทคนิคนี้ มีความเสี่ยงที่จะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคภายในจอ หรือภายในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊คบุ้คเสียหายจากความร้อนได้ คุณจึงควร Backup ข้อมูลสำคัญไว้ก่อนจะลงมือปฏิบัติ และเทคนิคนี้อาจไม่ช่วยให้เม็ด Pixel ที่เสียหายเป็นบริเวณกว้างกลับมาเป็นปกติได้ทั้งหมด หรือถึงแม้จะแก้ไข Stuck Pixel ได้สำเร็จ จอของคุณก็อาจกลับมามีอาการเดิมอีกครั้ง

คุณสามารถแก้ไข Stuck Pixel โดยใช้ความร้อนตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1.เทคนิค นี้จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน เราจึงแนะนำให้คุณเสียบปลั๊กเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คแทนการใช้พลังงานจาก แบตเตอรี่
2.ไปที่ Power Settings ใน Control Panel และตรวจสอบให้แน่ใจว่า Windows จะไม่ดับจอ LCD และจะไม่เข้าสู่โหมด Standby หรือ Hibernate เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ (ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องและจอจะถูกเปิดและทำงานตลอดเวลานั่นเอง)
3.กดหน้าจอของโน๊ตบุ้กให้เข้ามาใกล้ keyboard เล็กน้อย แต่ต้องไม่ใกล้ถึงขนาดที่ทำให้เครื่องหยุดทำงาน หลังจากนั้นให้วางโน๊ตบุ้คไว้ในที่แคบๆ ที่อากาศและความร้อนถ่ายเทไม่สะดวก เช่นตู้เล็กๆ หรือลิ้นชัก
4.ปล่อย ให้โน๊ตบุ้คของคุณทำงานอยู่อย่างนั้นหลายๆ ชั่วโมง หรือหลายๆ วัน ควรหมั่นเข้าไปตรวจสอบบ่อยๆ ว่า Stuck Pixel หายไปหรือไม่ การใช้ความร้อนจะทำให้ของเหลวในผลึก LCD ไหลอยู่ในเม็ด Pixel ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้นในบางพื้นที่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ของเหลวดังกล่าวอาจจะไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของวงจรควบ คุม

Firefox 3.6 Beta มาพร้อม Persona และ fullscreen video

Mozilla ประกาศออกมาแล้วว่า Firefox 3.6 Beta จะออกมาพร้อมกับ Persona และการแสดงผล video แบบ fullscreen นอกจากนี้ยังมี feature อื่นๆ อีกมากมาย สำหรับ Firefox 3.6 รหัสพัฒนา Namoroka จะออกเวอร์ชันเต็มๆ ให้ได้ใช้กันประมาณต้นปีหน้า Firefox 3.6 นอกจากจะมีการเอา Persona จากที่เคยเป็น extension โดดๆ ได้เอามารวมไว้ใน Firefox 3.6 นี้แล้วยังมี theme ติดมาด้วย

แถมยังสนับสนุน Web Open Font Format (WOFF) และพัฒนาส่วนของ HTML 5 ส่วน tag video ต่อด้วย ซึ่งตัวเล่น video สนับสนุน playback และการเปิดแบบ full screen อีกด้วยใครเป็นแฟน Firefox อดใจรอไม่ไหว ดาวน์โหลดเวอร์ชัน Beta มาเล่นก่อนได้ สำหรับท่านที่ใจเย็นรอได้ ก็ประมาณต้นปีหน้าครับ

ทำให้ Ubuntu 9.10 boot เร็วขึ้น

หลังจากไปงาน release party หลายคนบอกว่า Ubuntu 9.10 นี้เป็น โดอาล่ามีกรรม เท่าที่ผมสอบถามจากเพื่อนที่ทำงานลงได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จาก 5 เครื่องลงได้เพียง 2 เครื่อง ก็เลยต้องจำใจใช้ 9.04 ต่อไป เมื่อวาน @gumara ฟอร์เวิร์ดเมล์มาจาก Jeroen ให้ลองทดสอบ kernel ใหม่ที่อาจแก้กรรมของโคอาล่าตัวนี้ได้ ผมได้ลองทดสอบแล้วครับว่า ความรู้สึกมันเร็วขึ้นมาจริงครับ

sudo add-apt-repository ppa:ubuntu-boot/ppa
sudo apt-get update
sudo apt-get dist-upgrade

คำสั่งข้างต้นเป็นการติดตั้ง upgrade kernel แกมบอกว่า boot 2 รอบ รับรองเร็วจริง

กำจัดไวรัส MSN IMprofile.net

มันมากันอีกแล้วนะครับ กับไวรัส IMProfile.net โดยการทำงานของมันจะไม่ต่างกับตัวก่อนๆที่ผ่านมามากนักครับ เหมือนๆกับ IMplus, และ blockchecker นั่นล่ะที่อาศัยการส่งข้อความไปเรื่อยๆครับ
อาการ:โปรแกรม MSN ของเราส่งข้อความออกไป โดยที่เราไม่ทราบ (อาจจะทราบจากที่เพื่อนทักว่า ส่งไรไปนั่นล่ะครับ)โดยข้อความที่ส่งไปนั้น จะคล้ายแบบนี้ครับ

rofl @ you http://www.imp rofile.net/members.php?member=[ชื่ออีเมล์ของคุณ]
i hope this isn't you http://s2.im profile.net/?member=[ชื่ออีเมล์ของคุณ]
emo http://www.im profile.net/?member=[ชื่ออีเมล์ของคุณ]

หรืออื่นๆ ในลักษณะที่คล้ายแบบนี้ครับ จะแตกต่างไปตามข้อความข้างหน้า แต่ให้สังเกต url ของเว็บครับจะเป็น improfile ครับ



วิธีการแก้ไข:หลังจากที่ติดไปแล้ว ให้ดาวน์โหลด โปรแกรมกำจัดเจ้า IMProfile ตัวนี้ไป ครับ

http://tech.mthai.com/dl-files/tech.mthai.com-impFix.zip

จากนั้นให้แตกไฟล์ Zip ออกมาครับ และรันโปรแกรม impFix.exe ครับ และโปรแกรมจะมีหน้าตาแบบนี้ครับ



ให้เราคลิก Remove the IMProfile.net ครับ จากนั้นโปรแกรมจะทำการค้นหาและกำจัดเจ้าไวรัสตัวนี้ทันทีครับ ซึ่งจะแสดงให้เห็นใน list ด้านล่างครับ



วิธีการป้องกัน:เมื่อเห็นหรือได้รับข้อความ ที่มีลักษณะข้างต้น อย่าคลิกเด็ดขาดให้แจ้งไปยังผู้ที่ส่งมา ว่าติดไวรัสตัวนี้แล้ว และให้เข้ามาดาวน์โหลดโปรแกรมกำจัดดังกล่าวไปใช้งานครับ



***เพิ่มเติม***

สำหรับท่านที่รันโปรแกรมนี้แล้ว พบหน้าต่างตามด้านล่างนะครับ ไม่ต้องตกใจ เพราะเครื่องท่านไม่มีตัวป่วนตัวนี้ติดอยู่ในเครื่องแต่อย่างใดครับ ดังนั้นโปรแกรมจึงแจ้งว่า พยายามลบไฟล์อันตรายแล้ว หากมีปัญหาอะไรให้แจ้งไปที่เว็บผู้ผลิตครับ

MSN block Checker ใครบล๊อกเรา เราก็เช็คได้

MSN Block Checker เป็น service สำหรับตรวจสอบสถานะการ Block msn ของฝ่ายตรงข้าม โดยปรกติแล้ว MSN เมื่อฝ่ายตรงข้าม Block อีเมล์ของเราแล้ว สถานะของฝ่ายตรงข้ามนั้นจะถูกแสดงเป็น offline ดังนั้น เราจึงไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า เค้าออนไลน์ หรือ ออฟไลน์อยู่
ระบบการตรวจสอบว่า Block หรือไม่นั้น อาศัยระบบเชื่อมต่อ Login เข้าไปยัง Server ของ MSN เหมือนว่า Bot ของเราเป็น User หนึ่งคนที่ signin เข้าไปใช้งานตามปรกติ ดังนั้น จึงสามารถดูได้ว่า ทางฝ่ายตรงข้ามนั้น Online อยู่หรือไม่

สำหรับการใช้งาน ให้กรอกชื่อ อีเมล์ของคนที่คุณต้องการจะ check ลงในช่อง และกด check รอสักครู่ เพื่อดูผลนะครับ หากผลที่ได้ เป็น Online แต่ใน list คุณเห็นเค้า offline นั่นหมายความว่าเค้า Block คุณแล้ว ดังนั้น เมล์ไปขอโทษกันซะนะครับ หุหุ

ส่วนถ้า เห็นเป็น offline ก็ยังไม่ต้องวิตกกังวลไปนะครับ เพราะนั่น แสดงว่า เค้ายังไม่ออนไลน์

สุดท้าย ถ้าผลออกมาเป็น unknow หรือ ระบุไม่ได้ นั่นแสดงว่า ระบบไม่สามารถเข้าระบบตรวจสอบได้

หมายเหตุ ระบบของ Mthai MSN Block Checker นั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้ หากผู้ใช้ท่านนั้นใช้ อีเมล์อื่นๆ ในการ signin msn เช่น username@gmail.com เป็นต้น

นอกจากนี้ หากท่านต้องการเช็ค Block อย่างรวดเร็วสามารถใช้ ลิ้งค์ในรูปแบบของ

http://tech.mthai.com/msn-block-checker.php?email= และตามด้วย อีเมล์ ที่ต้องการเช็ค

เช่น http://tech.mthai.com/msn-block-checker.php?email=service@hotmail.com เป็นต้น

ติดตั้ง Virtualbox บน ubuntu 8.10

เริ่มงานแต่เช้าด้วยการติดตั้ง Virtualbox บน ubuntu 8.10 เปลี่ยนใจจากเดิมที่จะลง Vmware เหตุเพราะ VMware ไม่ใช่ OpenSource(หรือไม่ฟรีนั่นเอง) ก็จัดการเข้าสู่ Commend line

เริ่มติดตั้ง sudo apt-get install virtualbox
ช่วงนี้ก็จะรอการดาวน์โหลดนานหน่อย(ขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเตอร์เน็ต)





เสร็จแล้วครับ ก็ลองเข้าเมนูโปรแกรม ก็จะพบว่า Virtualbox โผล่ขึ้นมาบนเมนูแล้ว



ต่อไปก็เหลือแค่ติดตั้ง OS ที่ต้องการลงไปเท่านั้นล่ะครับ

LDAP User Manage

ผมเองใช้ SIS 5.5.5 ทำ Server มาระยะ เมื่อก่อนไม่ค่อยมีปัญหาในการจัดการกับระบบ User เพราะทุกอย่างใช้ผ่าน WebAdmin ได้ แต่พอตัวเรากับ Server อยู่กันคนละจังหวัด เรื่องที่ไม่เคยเป็นเรื่องก็ดันเป็นเรื่องขึ้นมาคือ การใช้ Webadmin ในฝั่งของอินเตอร์เน็ต มันต้องกำหนดอนุญาต IP ด้วย ไม่งั้นใช้ Remote ผ่าน Webadmin ไม่ได้ แต่บ้านเรามันเป็น Adsl ที่ไม่ได้ Fix IP นะสิ ต้องมาคอยเปลี่ยน IP เข้าไปใน ไฟล์ comlist.fiw ที่อยู่ /usr/share/sistools/webadmin เห็นจะไม่เข้าที

Sis 5.5.5 มันใช้ระบบ Authen ผ่าน LDAP User คือมันไม่ได้ใช้ system user การใช้จัดการ user ผ่าน command line จึงเปลี่ยนวิธีการใหม่ ใครที่ประสบปัญหาการดูแล user ผ่าน Command line มารู้จักวิธีการจัดการหน่อยดีไหม


การเพิ่ม User

ใช้คำสั่ง smbldap-useradd
ตัวอย่าง smbldap-useradd -a -m -P myuser
-a เพิ่ม user
-m สร้างHome Directory ของ user ด้วย
-P สั่งให้ตั้ง Password ด้วย

จากตัวอย่างด้านบน เป็นการสั่งให้เพิ่ม user ที่ชื่อ myuser พร้อมสร้าง home directory และกำหนดรหัสผ่านด้วย

การเปลี่ยนรหัสผ่าน

ใช้คำสั่ง smbldap-passwd (user ที่จะเปลี่ยน)
ตัวอย่าง smbldap-passwd myuser

การลบ user

ใช้คำสั่ง smbldap-userdel (user ที่จะลบ)
ตัวอย่าง smbldap-userdel myuser

การเพิ่มกลุ่มผู้ใช้

ใช้คำสั่ง smbldap-groupadd (ชื่อ Group)
ตัวอย่าง smbldap-groupadd newgroup

การเพิ่ม user เข้าไปใน Group

ใช้คำสั่ง smbldap-groupmod -m (ชื่อ user) (ชื่อ Group ที่จะเข้า)
ตัวอย่าง smbldap-groupmod -m myuser newgroup

การลบ user ออกจาก Group

ใช้คำสั่ง smbldap-groupmod -x (ชื่อ user) (ชื่อ group ที่ลบออก)
ตัวอย่าง smbldap-groupmod -x myuser newgroup

เท่านี้ก็น่าจะพอใช้จัดการกับ user ในระบบ ldap ได้แล้วนะ
แต่แถมอีกคำสั่งดีกว่า คือ แสดงรายละเอียดของผู้ใช้และแก้ไข

แสดงรายละเอียดใช้ smbldap-usershow (ชื่อ user)
การแก้ไขใช้ smbldap-userinfo (ชื่อ user)


Mac Address Change เปลี่ยนเลข Mac Address ง่าย ๆ

เมื่อก่อนตอนที่เรียน Network ใหม่ ๆ เราเข้าใจว่า Mac Address เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาจากบริษัทผู้ผลิตแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนแม้กระทั่งมาเป็น System Admin ในช่วงแรก ๆ ก็ยังมีความเชื่อเรื่องนี้อยู่ ทำให้มองรูปแบบหรือข้อกำหนดของ Firewall ผิดพลาดไปด้วย ความจริง Mac Address แม้ถูกกำหนดมาจากโรงงานของผู้ผลิต แต่เราสามารถเปลี่ยนค่าได้ เพราะปัจจุบัน Admin ส่วนใหญ่เริ่มจะทำการ Block Mac Address แทนการ Block IP แล้ว ถ้าต้องการหนี Block ก็ต้องเปลี่ยนค่า Mac Address ล่ะครับ วิธีการก็ง่าย ๆ ลองพิมพ์คำว่า Mac Address Change จาก Google ก็คิดว่าคงมีคำตอบออกมายาวเฟื้อยเลยล่ะ โปรแกรมที่จะมาจัดการเปลี่ยน Mac Addres มีหลายตัว แต่ที่จะแนะนำวันนี้ก็ชื่อ a-Mac Address Change ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Version ไหนแล้วไม่รู้แต่ผมเองยังใช้ 5.0 อยู่


วิธีการก็ไปดาวน์โหลดโปรแกรม http://www.phazeddl.com ลองค้นดู
ได้มาเสร็จก็จัดการติดตั้ง ซึ่งก็แบบ คลิก ๆ next ๆ อะครับ
ติดตั้งเสร็จก็จะมี icon รูปดังนี้ปรากฏบน Desktop


ก็จัดการ Double Click เพื่อเปิดใช้งานโปรแกรมครับ




โปรแกรมก็จะโหลด Card ที่เกี่ยวข้องที่มีค่า Mac Address ออกมา (ไม่จำกัดเฉพาะ LAN CARD นะ) เราก็ไปจำเอาเองว่าเรามี LAN CARD อยู่กี่ตัวก็จัดการเลือกเลย ตรงช่องว่างข้างปุ่ม Change Mac to ให้กรอก Mac Address ใหม่ลงไป แล้วจัดการกดที่ปุ่ม Change Mac to ระบบก็จะถามว่าเพื่อให้มีผลต่อการทำงาน ต้องการ Reboot เครื่องหรือไม่ ซึ่งก็ควร Reboot นั่นแล้ว คลิกที่ Yes ที่นี่ก็เป็นอันใช้งานได้แล้ว

ลองไปที่ เมนู/rum
พิมพ์ cmd เพื่อเข้า command line
พิมพ์ ipconfig /all แล้วดูว่าค่า Mac Address เปลี่ยนไปหรือยัง

แต่ถ้าทำไปแล้วใช้งานไม่ได้ ก็ไม่ต้องตกใจ ปุ่ม Change back ช่วยได้ ก็คลิกที่ปุ่มนี้เพื่อกลับไปใช้ค่าเดิม
เห็นไหมครับง่าย ๆ แค่นี้เอง วิธีการจะหา Mac Address แบบไม่ต้องคำนวณก็นี้เลยครับ หาเอาดื้อ ในระบบ LAN นั่นแหละ
คลิกที่ปุ่ม Scan แล้วรอจดเอา เท่านี้ละครับ ถามว่า Mac ชนกันได้ไหม มันก็ชนกันได้ถ้าไม่ต้องการรับ IP อัตโนมัติจาก DHCP นี่ล่ะคาถาหนีการ block mac address ของ Admin ง่าย ๆ ครับ


ชายจีนประดิษฐ์จักรยานสะเทินน้ำสะเทินบก


หนานจิง 22 ก.ย. - หนังสือพิมพ์แยงซี อีฟนิ่ง นิวส์ ในจีน รายงานว่า นายเติ้ง หวายปิน จากเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ประดิษฐ์จักรยานสะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งประกอบด้วยถุงลมที่ล้อและใบจักร 7 ใบ ทางด้านหลัง

นายเติ้ง บอกว่า จักรยานคันนี้เหมือนจักรยานทั่วไปบนท้องถนน แต่สามารถเติมลมและแล่นบนน้ำได้ด้วยความเร็ว 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาใช้เวลากว่า 2 ปี ในการออกแบบและผลิตจักรยานนี้ ด้วยต้นทุนเกือบ 100,000 บาท


จักรยานทำขึ้นจากชิ้นส่วนประกอบกว่า 300 ชิ้น ส่วนใหญ่ทำขึ้นเองจากสิ่งที่อยู่ใกล้มือ เขาใช้ยางในรถยนต์กว่า 40 เส้น เพื่อทำถุงลม 4 ลูก เพื่อใช้ในน้ำ นายเติ้ง หวังว่าจะสามารถหาหุ้นส่วนธุรกิจเพื่อผลิตจักรยานรุ่นนี้ออกมามาก ๆ หลังจากที่จดสิทธิบัตรแล้ว และเมื่อถึงวันนี้ คาดว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงมาเหลือคันละประมาณ 2,775 บาทเท่านั้น

การดูโทรทัศน์ในอนาคตจะพลิกโฉมครั้งใหญ่

ซานฟรานซิสโก 25 ก.ย.- นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ภาพและเสียงเผยว่า การดูโทรทัศน์ในอนาคตจะพลิกโฉมครั้งใหญ่ สามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลาและเลือกดูเนื้อหาได้ตามที่ต้องการ ขณะที่คุณภาพของภาพจะสมจริงคมชัดเป็นภาพ 3 มิติ

ที่ประชุมนักพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ของอินเทลที่นครซานฟรานซิสโกในสหรัฐคาดว่า ภายในปี 2558 ทั่วโลกจะมีอุปกรณ์ 12,000 ล้านเครื่องรับชมเนื้อหาจากโทรทัศน์และวิดีทัศน์รวม 500,000 ล้านชั่วโมง โทรทัศน์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตประจำวันแต่จะไม่ใช่โทรทัศน์ตั้งโต๊ะหรือติดผนังอีกต่อไป เพราะมีช่องทางในการรับชมได้ทุกที่ทุกเวลามากขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์แลปท็อป โทรศัพท์เคลื่อนที่ มีเนื้อหาให้เลือกรับชมอย่างหลากหลาย ทั้งรายการออกอากาศ ภาพวิดีทัศน์ เนื้อหาอินเทอร์เน็ต และเนื้อหาส่วนบุคคล


นายอิริค คิม หัวหน้ากลุ่มพัฒนาโทรทัศน์ดิจิตอลสำหรับครัวเรือนบอกกับที่ประชุมว่า ความท้าทายในการนำพลังและประสิทธิภาพของอินเทอร์เน็ตมาใช้กับโทรทัศน์คือต้องทำให้ใช้งานง่าย ขณะที่นายจัสติน แรตต์เนอร์ หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีเน้นเรื่องโทรทัศน์ 3 มิติว่า กำลังมีการแข่งขันกันสูง โดยเมื่อต้นเดือนมีบริษัทใหม่ในซิลิคอนวัลลีย์ชื่อเอชดีไออ้างว่าเป็นบริษัทแรกของโลกที่ผลิตเครื่องรับโทรทัศน์เลเซอร์ 3 มิติขนาด 100 นิ้ว ให้ภาพคมชัดราวชมภาพยนตร์ 3 มิติจอยักษ์ของไอแม็กซ์ มีความละเอียดของภาพ 1,000 เฟรมต่อวินาที เทียบกับโทรทัศน์ปัจจุบันที่มีความละเอียดเพียง 240 เฟรมต่อวินาที บริษัทวิจัยแห่งหนึ่งคาดว่า ตลาดภาพ 3 มิติโดยรวมจะขยายตัวถึง 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 850,000 ล้านบาท) ภายในปี 2555

จีนจะสร้างและปล่อยดาวเทียมให้ลาว

ปักกิ่ง 26 ก.ย. - สื่อของจีนรายงานอ้างเจ้าหน้าที่ของสถาบันเทคโนโลยีพาหนะปล่อย (CALT) ว่า จีนจะสร้างและปล่อยดาวเทียมสื่อสาร รวมถึงก่อสร้างศูนย์ควบคุมดาวเทียมให้แก่ลาว ตามข้อตกลงที่ได้ลงนามกันไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ดาวเทียม ตงฟาง ฮอง จะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดลองมาร์ช แต่ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาการปล่อย

ก่อนหน้านี้ในปี 2550 จีนส่งดาวเทียมที่ผลิตขึ้นเองให้กับไนจีเรียเป็นประเทศแรก แต่ดาวเทียมมูลค่า 257 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดวงนี้ ประสบความล้มเหลวใน 1 ปีต่อมา เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ทำให้ไม่สามารถให้บริการโทรศัพท์ การกระจายเสียงและภาพรวมถึงบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตได้อีกต่อไป แต่ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว รัฐบาลจีนก็ส่งดาวเทียมดวงแรกให้แก่เวเนซุเอลา มูลค่า 241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประธานาธิบดีอีโว โมราเลส แห่งโบลิเวีย กล่าวหลังหารือกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา เมื่อวันพฤหัสบดี ว่าจีนตกลงช่วยเหลือโบลิเวียสร้างและปล่อยดาวเทียมสื่อสารดวงแรกภายใน 3 ปี


จีนพัฒนาโครงการด้านอวกาศก้าวหน้าไปมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และกำลังเติบโตในตลาดสร้างและปล่อยดาวเทียม ล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทยูเทลแซท คอมมิวนิเคชั่น เลือกจีนให้เป็นผู้ปล่อยดาวเทียม สร้างความประหลาดใจอย่างมากให้กับบริษัทเอเรียนสเปซ ยักษ์ใหญ่ด้านยานอวกาศของยุโรป.

เคล็ดลับ 5 ประการในการใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะ

ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในนิวยอร์คอาจเข้าไปดูข้อมูลส่ วนบุคคลของคุณ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เขาอาจขโมยข้อมูลบัญชีธนาคารออนไลน์ของคุณ
ปัจจุบัน Juju Jiang ได้ชดใช้ในสิ่งที่เขากระทำแล้ว หลังจากที่มีการตัดสินความผิด แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบแป้นพิมพ์เพื่อขโมยชื่อผู้ ใช้และรหัสผ่านจากเครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ ซึ่งเขาใช้ในการขโมยเงิน หรือขายข้อมูลนั้นบนเว็บ
เขาถูกจับในขณะที่เขากำลังจัดการกับเครื่องคอมพิวเตอ ร์ที่บ้านของเหยื่อ เธอจ้องมองวิธีการที่คนร้ายค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ข องเธออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาใช้ GoToMyPC ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับนักเดินทางที่สามารถจัดการเครื ่องคอมพิวเตอร์ของตนจากระยะไกลได้ เหยื่อรายนี้ได้ใช้ GoToMyPC ก่อนหน้านี้จากเครื่องสาธารณะ และ Jiang ได้ขโมยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของเธอไป
เรื่องดังกล่าวได้สร้างความสนใจให้กับสิ่งที่ผู้คนเค ยมองข้าม ซอฟต์แวร์ประเภทสปายแวร์สามารถติดตั้งลงในเครื่องคอม พิวเตอร์สาธารณะได้ง่าย เช่น อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ สนามบิน ห้องสมุด และสถานที่สาธารณะอื่นๆ


อาชญากรสามารถขโมยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของคุณไปได้โ ดยการใช้ซอฟต์แวร์ประเภทสปายแวร์ จากนั้นคุณอาจสูญเสียเงินหรือถูกขโมยข้อมูลเฉพาะตัว เรื่องต่างๆ เหล่านี้จะช่วยย้ำเตือนให้คุณระมัดระวังในการใช้เครื ่องคอมพิวเตอร์สาธารณะซอฟต์แวร์จะไม่เป็นที่สังเกตจาร ชนมักใช้ซอฟต์แวร์เนื่องจากซอฟต์แวร์เป็นสิ่งที่บ ุคคลทั่วไปมักไม่สังเกตเห็น หรืออาจนำฮาร์ดแวร์มาวางไว้ระหว่างแป้นพิมพ์และเครื่ องคอมพิวเตอร์ แต่การใช้ฮาร์ดแวร์จะเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายในที่ส าธารณะ
โปรแกรมเหล่านี้สามารถบันทึกการใช้แป้นพิมพ์โดยที่เห ยื่อไม่ทันรู้ตัว จากนั้นจึงส่งข้อมูลที่บันทึกไว้ทางอีเมลตามเวลาที่ก ำหนด หรือใช้วิธีการดาวน์โหลดข้อมูลดังกล่าว โปรแกรมอื่นๆ อาจบันทึกภาพหน้าจอของเว็บไซต์ที่คุณเยี่ยมชม ข้อมูลที่บันทึกไว้เหล่านี้ก็จะถูกส่งทางอีเมลเช่นเด ียวกัน
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คุณจะไม่สังเกตเห็นโปรแกรมประเภทสปายแวร์ เว้นแต่ว่าคุณจะทราบวิธีการค้นหา คุณจึงจะพบโปรแกรมเหล่านี้ คุณจึงควรตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณว่ามีซอฟต์ แวร์สปายอยู่หรือไม่ก่อนใช้งาน ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป
แต่อยากให้คุณตระหนักไว้ว่า นอกจากโปรแกรมสปายแล้ว คุณอาจพบกับภัยคุกคามอื่นๆ ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าการใช้ห้องน้ำสาธารณะ!

ข้อควรพิจารณา 5 ประการเมื่อคุณใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้ งานเป็นประจำมีดังต่อไปนี้

การตรวจสอบโปรแกรมสปาย
คุณสามารถดาวน์โหลด X-Cleaner Spyware Remover ได้จาก spywareinfo.com แล้วคัดลอกเก็บไว้ในฟล็อปปี้ดิสก์ หากเครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะที่คุณใช้มีฟล็อปปี้ไดร ฟ์ ให้ใส่แผ่นดิสก์และเรียกใช้ X-Cleaner จากฟล็อปปี้ดิสก์เพื่อตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ โดยคุณไม่จำเป็นต้องติดตั้ง X-Cleaner

การลบข้อมูลของคุณ
เมื่อคุณใช้งานอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ ระบบจะบันทึกเว็บไซต์ที่คุณเยี่ยมชมเอาไว้ หลังจากที่คุณเรียกดูข้อมูลต่างๆ โดยใช้ Microsoft Internet Explorer เสร็จแล้ว ให้คลิก Tools > Internet Options ในแท็บ General ให้คลิก Delete Files และ Delete Cookies จากนั้นให้คลิก Clear History
หากคุณใช้ Netscape Navigator การดำเนินการอาจซับซ้อนกว่าเล็กน้อย โปรดทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
• คุณ จะต้องตรวจสอบการตั้งค่าก่อนใช้งานออนไลน์โดยคลิก ที่ Edit และ Preferences แล้วคลิกที่ลูกศรที่อยู่หน้า Navigator และเลือก History จากนั้นให้มองหา Browsing History ทางด้านขวา แล้วเปลี่ยน "Remember visited pages" เป็น 0
• คลิกลูกศรที่อยู่หน้า Privacy and Security แล้วเลือก Disable Cookies และ Disable Cookies in Mail and Newsgroups
• เมื่อ คุณเรียกดูข้อมูลเสร็จแล้ว ให้คลิก Edit และ Preferences แล้วคลิกที่ลูกศรที่อยู่หน้า Navigator คลิก Clear History และ Clear Location Bar แล้วไปที่ Privacy and Security ทางด้านซ้ายและคลิกลูกศร เลือก Cookies คลิก Manage Stored Cookies ในแท็บ Stored Cookies ให้คลิก Remove All Cookies
• จาก นั้นให้ไปที่ Advanced ที่อยู่ในบานหน้าต่างทางด้านซ้าย คลิกที่ลูกศร แล้วคลิก Cache คลิก Clear Memory Cache และ Clear Disk Cache



การป้องกันรหัสผ่านของคุณ
เบราว์เซอร์สามารถตรวจสอบรหัสผ่านได้เช่นกัน ก่อนที่คุณจะใช้งานเว็บ หากคุณใช้ Internet Explorer ให้คลิก Tools > Internet Options ในแท็บ Content ให้คลิก AutoComplete แล้วยกเลิกการเลือกทั้ง 4 ช่อง
เมื่อคุณเรียกดูข้อมูลเสร็จแล้ว ให้คลิก Tools > Internet Options แล้วไปที่แท็บ Content และคลิก AutoComplete คลิก Clear Forms และ Clear Passwords
หากคุณใช้ Netscape ให้คลิก Edit และ Preferences คลิกลูกศรที่อยู่หน้า Privacy and Security แล้วคลิก Passwords ยกเลิกการเลือกในช่อง Remember Passwords เมื่อคุณเรียกดูข้อมูลเสร็จแล้ว ให้คลิก Passwords ใน Privacy and Security อีกครั้ง คลิก Manage Stored Passwords เลือกแท็บ Passwords Saved แล้วคลิก Remove All
Netscape มีคุณสมบัติที่คล้ายกับ AutoComplete ซึ่งจะบันทึกข้อมูลที่ป้อนลงในฟอร์ม ในการปิดการใช้งานคุณสมบัติดังกล่าว ให้คลิก Forms ใน Privacy and Security แล้วยกเลิกการเลือก "Save form data from Web pages when completing forms" เมื่อคุณเรียกดูข้อมูลเสร็จแล้ว ให้กลับไปยังหน้า Forms คลิก Manage Stored Form Data แล้วคลิก Remove All Saved Data
การลบข้อมูลในเบราว์เซอร์จะทำให้คุณแน่ใจได้ว่าผู้อื ่นจะไม่สามารถตรวจสอบการเรียกดูข้อมูล หรือขโมยรหัสผ่านจากข้อมูลที่บันทึกไว้ได้ แต่โปรแกรมตรวจสอบการใช้แป้นพิมพ์ยังสามารถบันทึกรหั สผ่านของคุณได้
โปรแกรมตรวจสอบการใช้แป้นพิมพ์บางโปรแกรมไม่สามารถบั นทึกรหัสผ่านของคุณไว้ได้ หากคุณป้อนรหัสผ่านโดยใช้การคัดลอกและวางตัวอักษรหรื อตัวเลข ตัวอย่างเช่น เพจที่คุณเปิดในเบราว์เซอร์มีตัวอักษรต่างๆ และสมมติว่ารหัสผ่านของคุณคือ "jim" (คุณคงไม่ใช้รหัสผ่านง่ายเช่นนี้!) คุณสามารถค้นหาตัวอักษร "j" หนึ่งตัว "i" หนึ่งตัว "m" อีกหนึ่งตัวในเพจนั้น แล้วคัดลอกและวางลงในช่องรหัสผ่าน
การใช้รหัสผ่านชั่วคราวอาจเป็นการป้องกันรหัสผ่านที่ ดีที่สุด คุณอาจใช้รหัสผ่านสำหรับการทำงาน และยกเลิกเมื่อสิ้นสุดการทำงาน

อย่าเชื่อมั่นการเข้ารหัสข้อมูลมากจนเกินไป
โปรแกรมการเข้ารหัสมีอยู่มากมายในท้องตลาด บางโปรแกรมอาจใช้สำหรับการเข้ารหัสอีเมล อย่างไรก็ตาม โปรแกรมเหล่านั้นจะเข้ารหัสข้อมูลเมื่อมีการคลิกที่ป ุ่ม ส่ง ซึ่งเป็นการป้องกันที่สายเกินไปหากมีการติดตั้งโปรแก รมตรวจสอบการใช้แป้นพิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมดังกล่าวจะบันทึกรหัสผ่านและข้อความที่คุณเขี ยนได้อย่างถูกต้อง

การใช้วิจารณญาณที่ดี
การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะอาจมีความปลอดภัย แต่คุณไม่สามารถมั่นใจได้เต็มที่ คุณสามารถติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยให้กับเครื่องค อมพิวเตอร์ที่บ้านหรือที่ทำงานได้ แต่คุณไม่สามารถมั่นใจได้ว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่ในเครื่ องสาธารณะนั้นหรือไม่
คุณควรใช้งานเครื่องเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง อย่าทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงินหรือการซื้อขายหุ้นในเ ครื่องเหล่านี้หากคุณสามารถหลีกเลี่ยงได้ หลีกเลี่ยงการทำรายการที่ใช้ข้อมูลบัตรเครดิต และใช้รหัสผ่านชั่วคราวหากคุณต้องตรวจสอบอีเมล รวมทั้งสอบถามผู้ดูแลระบบของคุณถึงวิธีการในการ "ยกเลิกการเรียกดูเพจ"
หากคุณใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเรียกดูข้อมูลเท่าน ั้น ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลธุรกิจที่สำคัญหากสามาร ถกระทำได้ เนื่องจากอาจมีอาชญากรเช่น Juju Jiang คอยจ้องมองคุณอยู่

คิงส์ตันส่งชุดบันเดิลซีรี่ส์ SSDNow M


Kingston Technology Company, Inc. ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจำระดับโลก ได้ฤกษ์ปล่อยชุดบันเดิลพร้อมโซลิดสเตทไดรฟ์ (SSD) ซีรี่ส์ SSDNow M ยอดฮิตขนาด 80GB และ 160GB ออกสู่ตลาดแล้ววันนี้ โดยโซลิดสเตทไดรฟ์ซีรี่ส์ SSDNow M นี้จะใช้ SATA SSDs รุ่น X-25M ของอินเทลซึ่งเป็นไดรฟ์ประสิทธิภาพสูงที่สุดในตลาดขณะนี้ ชุดบันเดิลนี้ประกอบด้วยโซลิดสเตทไดรฟ์ พร้อมเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่จำเป็นต่อการทำสำเนาข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ไปยัง SSD และฮาร์ดแวร์สำหรับการติดตั้ง

มร. นาธาน ซู ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์หน่วยความจำแฟลชประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของคิงส์ตันกล่าวว่า “ชุดจัดเก็บข้อมูลแบบออล-อิน-วันนี้คือโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับลูกค้าระดับเอ็นเตอร์ไพรส์ และผู้ใช้งานในบริษัท รวมถึงลูกค้าซึ่งต้องการรวมเทคโนโลยี SSD เข้ากับระบบเดิมที่มีอยู่ บันเดิลซีรี่ส์ SSDNow M ของคิงส์ตันทำให้การย้ายระบบปฏิบัติการ แอพพลิเคชั่นต่างๆ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ทั้งหมดจากฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ไปยังโซลิดสเตทไดรฟ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นสำหรับเครื่องโน้ตบุ๊ค เดสก์ท็อปหรือเครื่องเวิร์กสเตชันก็ตาม”
ชุดจัดเก็บข้อมูลนี้ประกอบด้วย
• โซลิดสเตทไดรฟ์ ซีรี่ส์ SSDNow M ความจุ 80GB หรือ 160GB (SATA SSDs รุ่น X-25M ของอินเทล)
• ซอฟต์แวร์ Acronis True Image สำหรับการโคลนฮาร์ดไดรฟ์ และแผ่นซีดีคู่มือการติดตั้ง
• ฝาครอบยูเอสบีขนาด 2.5 นิ้วพร้อมสายยูเอสบี (สำหรับโน้ตบุ๊ค)
• ขายึดช่องไดรฟ์ขนาด 2.5 ถึง 3.5 นิ้วและสกรูยึด (สำหรับพีซีตั้งโต๊ะ)
• สายพาวเวอร์ต่อขยายและสายต่อขยายสำหรับ SATA data (สำหรับพีซีตั้งโต๊ะ)

ชุดจัดเก็บข้อมูลนี้ให้การรับประกันนานสามปี และการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคฟรี รวมทั้งความไว้วางใจได้ในระบบป้องกันปัญหาไฟฟ้า (Legendary Reliability) ของคิงส์ตัน สนใจข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเข้าเยี่ยมชมที่เว็บไซต์ www.kingston.com/thailand

คุณลักษณะเด่นและข้อมูลจำเพาะของโซลิดสเตทไดรฟ์ ซีรี่ส์ SSDNow M ของคิงส์ตัน
• ความเร็ว: ความเร็วในการอ่าน 250MB/วินาที ความเร็วในการเขียน 70MB/วินาที
• ความทนทาน: ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวขณะทำงาน ช่วยให้ SSD ทนทานต่อการทำงานในสภาพแวดล้อมเลวร้ายต่างๆ
• รับประกัน: รับประกันโดยคิงส์ตันนาน 3 ปีพร้อมความช่วยเหลือด้านเทคนิคฟรี
• Form factor: 2.5 นิ้ว
• อินเทอร์เฟส: SATA 1.5Gb/วินาที และ 3.0Gb/วินาที
• ความจุ*: 80GB และ 160GB
• อุณหภูมิในการจัดเก็บ: -55 C ถึง 95 C
• อุณหภูมิขณะทำงาน: 0 C ถึง 70 C
• ขนาด: 69.85 มม. x 100 มม. x 9.5 มม.
• น้ำหนัก: 86 กรัม (+/- 2 กรัม)
• การทำงานขณะสั่นสะเทือน: 2.17 G (7–800Hz)
• การทำงานเมื่อไม่มีการสั่นสะเทือน: 3.13 G (10–500Hz)
• การใช้พลังงาน: ในสภาวะการทำงาน: 0.15 W โดยทั่วไป และในสภาวะพัก 0.06 W โดยทั่วไป
• อายุการใช้งาน:1.2 ล้านชั่วโมงโดยเฉลี่ยก่อนทำงานผิดพลาด (MTBF)
• การทำงานขณะมีแรงกระแทก: 1,000 G/0.5 msec operating and non-operating

*ความจุดังกล่าวเป็นความจุขณะทำการฟอร์แมตและฟังก์ชั่นอื่นๆ ไม่ใช่ความจุในการจัดเก็บข้อมูลโดยตรง สนใจข้อมูลเพิ่มเติม โปรดศึกษาจากคู่มือหน่วยความจำแบบแฟลชของคิงส์ตันที่ Kingston.com/Flash_Memory_Guide
**การวัดจะยึดตาม IO meter

ชุดบันเดิลพร้อมโซลิดสเตทไดรฟ์ ซีรีส์ SSDNow M ของคิงส์ตัน
หมายเลขชิ้นส่วน SNM125-S2B/80GB
ความจุและฟีเจอร์ 80GB 2.5" SATA SSD w/Bundle
หมายเลขชิ้นส่วน SNM125-S2B/160GB
ความจุและฟีเจอร์ 160GB 2.5" SATA SSD w/Bundle
หมายเลขชิ้นส่วน SNM125-S2/80GB
ความจุและฟีเจอร์ 80GB 2.5" SATA SSD (stand-alone drive)
หมายเลขชิ้นส่วน SNM125-S2/160GB
ความจุและฟีเจอร์ 160GB 2.5" SATA SSD (stand-alone drive)

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ Kingston ได้ที่ www.kingston.com/thailand หรือสอบถามตัวแทนจำหน่าย อเมริกันเบสท์ 02-231-6452 อินแกรมไมโคร 02-793-1888 ซิลิคอนดาต้า 02-2192012 และซินเน็ค 02-553-8888

Firefox บราวเซอร์พันล้าน (ดาวน์โหลด)

ปีที่แล้ว Firefox 3.0 ของ Mozilla ได้ลงกินเนสบุ๊กด้วยสถิติซอฟต์แวร์ที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดภายในหนึ่งวัน มาปีนี้ Firefox 3.5 อาจจะไม่ได้ทำลายสถิติที่เคยทำไว้สำเร็จ แต่ทางบริษัทกำลังจะก้าวสู่หลักไมล์อันใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือ การมียอดาวน์โหลดรวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านครั้ง!!

Mozilla ประกาศเมื่อวานนี้ว่า ยอดดาวน์โหลด Firefox บราวเซอร์จิ๋วแต่แจ๋วของทางบริษัทกำลังจะถึงหนึ่งพันล้านครั้งแล้ว โดยหากการคาดการณ์ของบริษัทไม่ผิดพลาด ยอดดาวน์โหลดจะแตะตัวเลขสิบหลักภายในสัปดาห์นี้ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในความสำเร็จดังกล่าว ทางบริษัทกำลังจะเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ในวันจันทร์นี้ โดยมีชื่อว่า onebillionplusyou.com ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยว่า งานนี้นอกจากจะเปิดขวดฉลองแคมเปญจ์แล้ว การเปิดเว็บไซต์นี้จะมีบิ๊กเซอร์ไพรซ์อะไรออกมาด้วย หรือเปล่า?





"Mozilla เดินทางมายาวนานตั้งแต่เริ่มต้นก้าวแรก จนถึงวันนี้ เรามีความภูมิใจมากที่สามารถก้าวถึงหลักไมล์ที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการเติบโตของชุมชนโมซิลล่า(Mozilla community) และผู้ที่ให้การสนับสนุนไฟร์ฟอกซ์ (Firefox supporter)" ถ้อยแถลงจากโมซิลล่า "สำหรับเว็บไซต์ที่เปิดขึ้นใหม่จะเป็นศูนย์รวมข้อมูลเกี่ยวกับการดาวน์โหลด 1 พันล้านครั้ง รวมถึงข้อมูลประชากรศาสตร์ของผู้ใช้ Firefox แต่เราอยากให้ผู้ใช้เข้าไปเยี่ยมชมด้วยตนเองในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ดีกว่า" ปัจจุบันข้อมูลจากเว็บไซต์ hitslink บราวเซอร์ Firefox มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22.39% ในขณะที่ IE 65.85%


"เหยื่อไอพอดทัชระเบิด"แฉโดนขู่

หลังจากที่มีรายงานข่าว"ไอพอดทัช" (iPod Touch) ของเด็กหญิงวัย 11 ปีเกิดระเบิดลุกไหม้ ล่าสุดเว็บไซต์เดลี่เทค (DailyTech) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ทางแอปเปิ้ล (Apple) ได้พยายามทำให้เรื่องนี้เงียบด้วยการให้เงินปิดปากกับทางผู้เป็นพ่อของสาวน้อย แต่ไม่สำเร็จ...
ฝ่ายกฎหมายชี้แจงว่า ปกติเรื่องของการเซ็นต์สัญญาไม่เปิดเผยความเสียหายที่เกิดขึ้นเล็กน้อยสามารถกระทำได้ แต่สำหรับกรณีล่าสุดมันร้ายแรงเกินกว่าจะเก็บเป็นความลับ ต่อกรณีข่าวคราวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า ไอโฟน และไอพอดทัชมีปัญหาเรื่องความร้อนที่มากเกิน (overheat) จนทำให้เกิดการประทุของประกายไฟออกมาได้นั้น รายงานข่าวที่ออกมาระบุว่า แอปเปิ้ลได้พยายามใช้อำนาจของกฎหมายในการเก็บงำเรื่องราวเหล่านี้ไว้ เพื่อไม่ให้ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณชน


Ken Stanborough วัย 47 ปี หนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่อของการระเบิดของไอพอด และการใช้อำนาจของฝ่ายกฎหมายของแอปเปิ้ล โดยนาย Stanborouch กล่าวว่า เขาได้ซื้อ iPod Touch ให้ Ellie ลูกสาววัย 11 ปี ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้วในวันหนึ่งทีอากาศค่อนข้างร้อน ขณะที่เขาถือไอพอดอยู่ในมือก็รู้สึกว่า มันเริ่มร้อนมากขึ้น "มันมีเสียงรบกวนออกมาจากเครื่อง และอุ้งมือของผมรู้สึกร้อนขึ้น จนคิดว่าน่าจะเกิดไอน้ำได้" พ่อของสาวน้อยตัดสินใจขว้างไอพอดที่ร้อนออกไปข้างนอก และภายใน 30 วินาที มันก็ระเบิดขึ้นมา พร้อมทั้งมีพวยควันพุ่งสูงขึ้นไปถึง 10 ฟุตเลยทีเดียว




เขาได้ติดต่อไปยังแอปเปิ้ล ด้วยหวังว่าจะได้รับคำขอโทษสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็คืนเงิน หลังจากที่ได้พูดคุยกับแผนกต่างๆ มากมาย เขาก็ได้มีโอกาสเจรจากับผู้บริหารแอปเปิ้ลทางโทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้ตอบตกลงเรื่องคืนเงินสำหรับค่าไอพอดทันที แต่ข้อมูลจากเว็บไซต์ Times Online ระบุว่า เขาได้รับจดหมายจากแอปเปิ้ลแทน โดยมีเงื่อนไขจะคืนเงินให้ก็ต่อเมื่อเขาเซ็นต์สัญญาข้อห้ามทางกฎหมายที่เขาจะต้องเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นความลับ


ผลจากการตอบสนองด้วยท่าทีดังกล่าว ทำให้ Stansborouch ตัดสินใจปฏิเสธที่จะรับเงินคืน โดยเขากล่าวว่า "มันเป็นจดหมายทีทำให้ผมรู้สึกแย่มาก พวกเขากำลังตัดสินชีวิตของผม ลูกสาว และแม่ของ Ellie ด้วยการไม่ให้พูดกับใครในเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าเราผิดสัญญา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขาจะโต้ตอบด้วยกฎหมายกับเราทันที ผมคิดว่า มันเป็นการขู่ เราไม่ได้เรียกร้องค่าชดเชย(ที่น่าจะมีมูลค่าสูงกว่าไอพอด) เราแค่ต้องการขอเงินคืนเท่านั้น..."

ทางด้านตัวแทนของแอปเปิ้ลกล่าวว่า พวกเขายังไม่สามารถให้คอมเมนต์ต่อกรณีที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากไม่ได้เห็นไอพอดตัวที่มีปัญหา ซึ่งนอกจากกรณีของ iPod Touch ระเบิดจนเป็นข่าวล่าสุดนี้ iPod Nano รุ่นที่สองก็ตกเป็นข่าวสำหรับกรณีร้อนเกินจนลุกไหม้ หรือระเบิดอยู่หลายกรณีเช่นเดียวกัน และดูเหมือนปัญหาลักษณะนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ กับไอพอดทัช และไอโฟนรุ่นปัจจุบัน โดยในเกาหลีใต้มีไอพอดบางรุ่นที่ถูกเรียกคืนเนื่องจากร้อนเกิน ในขณะที่ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งจะประกาศเตือนเรื่องไอพอดร้อนเกิน และแอปเปิ้ลในรัฐโอไฮโอก็กำลังถูกฟ้องจากคุณแม่ของเด็กน้อยที่โดนไอพอดทัชระเบิด และลุกไหม้ไปโดนขาของเขา

2 หุ่นยนต์ปลาดิบแจ๋ว

ญี่ปุ่นโชว์ 2 เทคโนโลยีหุ่นยนต์แจ่มแจ๋วเพื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งคือนางแบบโชว์ชุดเจ้าสาวสมองกลที่นางแบบตัวจริงต้องคิดหนักว่าอาจจะถูกแย่งงานในอนาคต อีกหนึ่งคือหุ่นยนต์ที่กำลังจะท้าชิงเพื่อทำลายสถิติโลก ว่าสามารถขี่จักรยานต่อเนื่องได้ระยะทางไกลที่สุดในโลก

นางแบบสมองกล
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ HRP-4C หรือ Miim ถูกโชว์ตัวในฐานะนางแบบแสดงผลงานชุดเจ้าสาวในคอลเล็คชันล่าสุดของยูมิ คัตสุระ (Yumi Katsura) ดีไซเนอร์ชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่น โดยผู้วิจัยและพัฒนา Miim คือคาสุฮิโตะ โยโกอิ (Kazuhito Yokoi) ระบุว่าได้ใช้เซ็นเซอร์มากมายติดตั้งไว้ที่ลำตัวเพื่อให้ Miim สามารถแสดงท่าทางแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมได้


เซ็นเซอร์จะทำหน้าที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ระบบจะนำข้อมูลที่ได้ไปสั่งการมอเตอร์ภายในหุ่นจำนวน 42 ตัวและกลไกกล้ามเนื้ออื่นๆเพื่อแสดงท่าทางโต้ตอบที่แตกต่างกันไป Miim มีความสูง 158 ซม. ตามมาตรฐานสาวญี่ปุ่น ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในงานแสดงแฟชันโชว์ของคัตสุระในโตเกียว สำหรับครั้งนี้ เป็นการเดินสายออกโชว์คอลเล็คชันใหม่ของคัตสุระที่โอซาก้า

นักขี่จักรยานชิงแชมป์โลก
หุ่นยนต์ขอท้าชิงแชมป์โลกจากกินเนสเวิร์ลเรคคอร์ด (Guinness World Record) ว่าสามารถขี่จักรยานได้ไกลที่สุดในโลกคือหุ่นยนต์ EVOLTA พัฒนาโดยนักสร้างหุ่นยนต์นามโทโมทากะ ทาคาฮาชิ (Tomotaka Takahashi)
เคล็ดลับของหุ่นยนต์ EVOLTA ที่เชื่อว่าจะสามารถทำลายสถิติโลกสำเร็จคือแบตเตอรี่แบรนด์พานาโซนิก (Panasonic) ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก โดย EVOLTA จะท้าชิงในกลุ่มหุ่นยนต์วิทยุบังคับ ที่งานประชุมด้านเทคโนโลยีไฟฟ้าซึ่งจะจัดขึ้นที่เมือง Le Mans ประเทศฝรั่งเศส วันที่ 5 สิงหาคมนี้

Walkman S-Series โผล่ในฝรั่งเศส

หลังจากที่มีเผยแพร่ภาพหลุดของเครื่องเล่นมีเดีย Sony Walkman S-Series ออกมาก่อนหน้านี้ ล่าสุดภาพ และราคาของเครื่องเล่นดังกล่าวได้ถูกนำเผยแพร่บนเว็บไซต์ในฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็เช่นเคย จากรายงานข่าวระบุว่า มันเป็นความผิดพลาดที่สินค้าใหม่หลุดออกมาก่อนเวลาอันควรอีกแล้ว




Walkman S-Series จะมีให้ผู้ใช้เลือกจับจองเป็นเจ้าของได้สองรุ่นด้วยกันคือ NWZ-S544 และ NWZ-S545 โดยภาพสินค้า และราคาที่หลุดออกมานั้น ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ค้าปลีกในฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า materiel.net ซึ่งทั้งสองรุ่นมีคุณสมบัติการทำงานที่คล้ายกันมาก ข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือ ขนาดของหน่วยความจำมีให้เลือก 8GB และ 16GB สนนราคาอยู่ที่ 129 (ประมาณ 6,300 บาท) และ 149 ยูโร (ประมาณ 7,200 บาท) ตามลำดับ
นอกจากขนาดของหน่วยความจำที่อยู่ภายในเครื่องแล้ว เครื่องเล่นมีเดียทั้งสองรุ่นจะมีขนาดหน้าจอ 2.4 นิ้ว มีจูนเนอร์รับคลื่นวิทยุ FM ได้ มาพร้อมกับลำโพงในตัว เล่นไฟล์วิดีโอ Mpeg-4 ส่วนออดิโอสนับสนุนไฟล์ MP3, WMA และ AAC (ไม่รองรับ DRM) แบตเตอรี่ ถ้าเล่นวิดีโอได้นานต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้ฟังเพลงจะอยู่ได้นานถึง 42 ชั่วโมงเลยทีเดียว ขนาดเล็กกะทัดรัด 99.3 x 49.3 x 10.2 มม. และมีน้ำหนักเพียง 70 กรัมเท่านั้น

Apple Tablet "ไอพอดทัช"ยักษ์

เป็นข่าวได้ตลอดเวลาสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังคงเป็นเรื่องคาดเดากันไม่จบไม่สิ้น นั่นก็คือ แท็บเล็ตของแอปเปิ้ล โดยรายงานข่าวล่าสุดจากเว็บไซต์บิซิเนสเจอนัลระบุว่า อุปกรณ์ดังกล่าวจะมีลักษณะคล้าย iPod Touch ขนาดใหญ่ ในขณะที่ราคาของมันอยู่ที่ประมาณ 600 เหรียญฯ (21,000 บาท) เท่านั้น

Genn Munster นักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัท Piper Jaffray กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า สำหรับแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ของแอปเปิ้ล ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอยู่นั้น คาดว่าจะมียอดจำหน่ายมากถึง 2 ล้านเครื่อง และจะทำให้แอปเปิ้ลมีรายได้สูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญฯ (ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท) ภายในปีหน้า



สำหรับการคาดการณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนข้อมูลพื้นฐานที่เขาได้รับจากบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ดังกล่าวที่ตั้งอยู่ในอาเซียน ซึ่งประสานงานกับแอปเปิ้ลโดยตรง Munster กล่าวอีกด้วยว่า "หลังจากที่ได้มีการปรึกษากันถึงโอกาสการเติบโตของอุปกรณ์แท็บเล็ตรุ่นใหม่จากแอปเปิ้ล เราขอย้ำอีกครั้งว่า แอปเปิ้ลจะแนะนำอุปกรณ์ระบบสัมผัสที่มีลักษณะคล้าย iPod Touch แต่ใหญ่กว่าในต้นปี 2010"
Munster คาดว่า แท็บเล็ตของแอปเปิ้ลจะมาพร้อมกับโมเด็ม 3G และสุดยอดซอฟต์แวร์สำหรับการท่องเว็บ อีเมล์ และเล่นสื่อต่างๆ โดยเขาเชื่อว่า แท็บเล็ตของแอปเปิ้ลจะชนกับผลิตภัณฑ์ประเภท"เน็ตบุ๊ก"โดยตรง