เคล็ด(ไม่)ลับของการใช้แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊กให้ทน

ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของแบตเตอรี่สำหรับโน๊ตบุ๊กได้ถูกพัฒนาขึ้น จากเดิมที่เคยใช้แบตเตอรี่แบบ NiCd เป็นแบบ Lithium ion ที่มีปรัสิทธิภาพมากขึ้นและใช้งานได้นานยิ่งขึ้น แต่การนำโน๊ตบุ๊กไปใช้นอกสถานที่ติดต่อกันเป็นเวลานานทั้งวัน โดยไม่ต้องพกหม้อแปลงชาร์ตไฟไปด้วยนั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก ยังไงเราๆ ท่านๆ ก็ยังคงต้องอยู่กับการต้องแบกโน๊ตบุ๊คและหม้อแปลงซาร์ตไฟไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนกว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพลิกโฉมให้สามารถใช้งานได้นานกว่าที่เป็นอยู่ เราคงต้องมาดูกันว่าเราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองอะไรได้บ้าง กับการใช้โน๊ตบุ๊คที่ใช้แบตเตอรี่ Lithium ion ที่ใช้กันอยุ่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คยืนนานมากยิ่งขึ้น และมีชั่วโมงในการทำงานโดยมาต้องชาร์ตไฟให้มากกว่าเดิม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี และส่วนที่สองจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการยืดชั่วโมงการทำงานโดยไม่ต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้นานยิ่งขึ้น


การใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี
1. ใช้ครั้งแรกต้องชาร์ตอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อย่างแรกที่คุณจะต้องจำไว้เลยทุกครั้งที่ได้โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาก็คือ จะต้องไม่เริ่มเปิดใช้ทันทีที่ชาร์ตแบตเตอรี่พียงพอที่จะเปิดใช้ได้ แต่จะต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มและปล่อยให้ชาร์ตทิ้ไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงติดต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้ชิปภายในตัวแบตเตอรี่มีการตั้งระดับค่าไฟที่ชาร์ตเต็มได้อย่างถูกต้อง และสามารถตัดไฟไม่ให้ชาร์ตได้ทันทีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว
2 . อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดไปเลยเด็ดขาด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยง และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ชาร์ตไฟอีกเป็นเวลานาน เพราะถ้าหากคุณทำเช่นนั้น แบตเตอรี่จะหมดไปถึงขีดระดับขีดสุด จนอาจจะทำให้คุณไม่สามารถชาร์ตไปเข้าไปอีกได้ ดังนั้นควรชาร์ตไฟให้แบตเตอรี่ทันทีเมื่อระดับไฟในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 10% หรือชาร์ตไฟทันทีที่มีโอกาส เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟในแบตเตอรี่ถูกใช้ไปจนหมด
3. อย่าเสียบปลั๊กชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ตลอดเวลา บางท่านอาจจะชอบลืมเสียบปลั๊กชาร์ตไว้ตลอดทั้งคืน หรือไม่เคยดึงปลั๊กออกเลยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน การทำเช่นนี้อาจจะทำให้ระดับการชาร์ตไฟเต็มลดลง เพราะชิปภายในแบตเตอรี่ได้ตัดไฟไม่ให้ชาร์ตตั้งแต่เมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว แต่ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพให้การชาร์ตไฟเข้าลดลงไปเรื่อยๆ
4. อย่าทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป ปกติระดับอุณหภูมิที่แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คจะทำงานได้ดีที่สุดคือระดับอุณหภูมิห้อง หรืออยู่ระหว่างช่วง 10 ถึง 35 องศาเซลเซียล ดังนั้นคุณจึงควรนั่งทำงานในห้องที่มีระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน จริงๆ แล้วคุณสามารถทำงานในห้องที่ร้อนหรือหนาวกว่านั้นได้ แต่ให้จำไว้ว่ายิ่งทำงานในห้องที่มีความร้อนสูงขึ้นเท่าไหร่ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ลดลงไปด้วยเป็นเงาตามตัว
5. อย่าทิ้งเครื่องไว้ในกระโปรงท้ายรถ หรือที่ที่ร้อนเกินไป ตามที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับผลกระทบของความร้อนสะสมกับแบตเตอรี่ ที่ถึงแม้จะมีความร้อนไม่สูงนัก แต่ก็ยังมีผลทำให้อายุการทำงานของแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทิ้งเครื่องไว้ในที่อุณหภูมิสูงกว่านั้นมาก เช่น ในกระโปรงท้านรถที่ทิ้งไว้กลางแดดติดต่อกันเป็นเวลานานก็ย่อมจะมีผลแต่อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อย่างรุ่นแรงเช่นเดียวกัน คุณจึงต้องคอยระมักระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยหลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
6. ถ้าจะไม่ใช้เครื่องนานให้ชาร์ตไฟเก็บไว้อย่างน้อย 40% ถ้าคุณจำเป็นจะต้องทิ้งเครื่องไว้ไม่ใช้งานเป็นเวลานาน เป็นเวลาหลายเดือน เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ หรือ ซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาใช้แทนตัวเก่า ขอแนะนำให้ชาร์ตทิ้งไว้ประมาณ 40-50% ก่อนที่คุณจะทิ้งเครื่องไว้โดยไม่ได้ใช้อีกนาน ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบของการขาดช่วงการชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ให้น้อยที่สุด และมีโอกาสชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ได้สำเร็จเมื่อคุณกลับมาใช้เครื่องอีกครั้ง

เทคนิคการยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่
1. เปิดใช้ฟังก์ชั่น Power Options บนระบบปฏิบัติการวินโดว์ คุณสามารถตั้งค่าการใช้ไฟจากแบตเตอรี่แบบต่างๆ ให้เหมาะสมได้ โดยให้คุณไปเปิดที่ Control Panel และดับเบิ้ลที่ไอคอนของ Power Options แล้วเลือกค่า Power schemes เป็นแบบ Portable/Laptop วินโดวน์ก็จะจัดการตั้งค่าการประหยัดไฟในแบบต่างๆ ตั้งแต่การตั้งเวลาการปิดหน้าจอ, การปิการทำงานของฮาร์ดดิสก์, การเข้าสู่สภาวะ standby และ hibernate โดยคุณสามารถปรับแต่งเวลาให้มากขึ้นหรือน้อยลงตามความต้องการของคุณได้
2. หรี่ความสว่างของจอ LCD หลายท่านคงจะยังไม่ทราบว่าจอ LCD บนโน๊ตบุ๊คเป็นส่วนหนึ่งที่กินไฟมากที่สุดในเครื่องโน๊ตบุ๊ค ดังนั้นการหรี่ความสว่างจอให้ต่ำลงจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการช่วยยืดชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่ โดยให้คุณพยายามปรับลงมาต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำงานได้ ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณทำงานได้นานยิ่งขึ้นเป็นชั่วโมงเลยก็เป็นได้ ส่วนวิธีการปรับนั้น มีความแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของโน้ตบุ๊คที่คุณใช้ ให้คุณลองศึกษาวิธีการปรับจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
3. ปรับลด Color Depth นอกจากการหรี่ความสว่างของจอแล้ว คุณยังสามารถประหยัดอัตราการใช้ไฟลงไปอีกระดับ ด้วยการปรับลด Color Depth หรือการลดมิติของสีที่แสดงบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของซีพียู อันจะมีผลทำให้ซีพียูกินไฟน้อยลงตามไปด้วย โดยให้คุณคลิกขวาที่หน้า Desktop แล้วเลือก Properties เพื่อเข้าหน้าต่าง Display Properties จากนั้นคลิกเลือกแท็ป Settings แล้วคลิกเลือกที่ Color quality จาก Highest(32 bit) เป็น Medium(16 bit)
4. ใช้ฟังก์ชัน hibernate การเข้าสู่สถานะ hibernate คือการปิดเครื่องแบบชั่วคราว โดยที่วินโดว์จะจัดการเก็บงานที่คุณกำลังทำอยู่ลงในฮาร์ดดิสก์ แล้วปิดการทำงานทั้งหมดของเครื่อง ขอแนะนำให้เปิดใช้งานฟังก์ชัน hibernate ทุกครั้งเมื่อคุณคุณคิดว่าจะหยุดใช้งานไปซักพักหนึ่ง หรือเมื่อต้องเคลื่อนยกย้ายเครื่องไปทำงานที่อื่นในระยะเวลาสั้นๆ เพราะนอกจากช่วยประหยัดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้หากแบตเตอรี่ได้หนดไปจริงๆ ในภายหลัง ส่วนวิธีการเข้าสู่สถานะ hibernate ให้คุณศึกษาจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
5. ปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ อีกวิธีการที่จะช่วยยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่คือการปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่คุรไม่ได้ใช้งาน ปิดการทำงานของ Wi-Fi และ Bluetooth ซึ่งกินไฟอยู่ตลอดถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้อยู่ก็ตาม นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดการทำงานของ Modem, LAN รวมไปถึงซีดีไดร์ทได้ด้วย โดยให้คุณเข้าไปที่ System Properties โดยกดปุ่มรูปวินโดว์ค้างไว้แล้วกดปุ่ม Pause Break จากนั้นคลิกที่แท็ป Hardware แล้วคลิกที่การทำงานที่คุณไม่ได้ใช้ ซึ่งจะเปิดหน้าต่าง Properties ของการทำงานนั้นขึ้นมา ให้คุณเลือก Do not use this device(disable) จากช่อง Device usage เพื่อหยุดการทำงานในส่วนนั้นไป
6. ปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน การปิดโปรแกรมต่างๆ ที่คุณไม่ได้ใช้ และเลือกเพียงโปรแกรมที่คุณต้องการใช้จริงๆ เท่านั้น การทำงานเช่นนี้จะเป็นการลดการทำงานของซีพียูลง ซึ่งก็จะมีผลทำให้การกินไฟของซีพียูลดลงตามไปด้วย วิธีการปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณกดปุ่ม Ctrl, Alt และ Del พร้อมกัน เพื่อเปิดหน้าต่าง Windows Task Manager และคลิกที่แท็ป Processes คลิกเลือกโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการใช้แล้วคลิกปุ่ม End Process เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมนั้น

ดูดวิดีโอจากเน็ตเก็บไว้ดูเล่น

การเติบโตอย่างรวดเร็วของการเผยแพร่ภาพวิดีโอสามรพัดบนอินเตอร์เน็ตได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการถ่ายภาพวิดีโอได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งจากกล้องวิดีโอที่มีราคาไม่แพงในปัจจุบันหรือจากมือถือที่ได้รับความนิยมสุดๆ จากกล้องดิจิทัลที่รองรับการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ รวมถึงการเชื่อมต่อสู่อินเตอร์เน็ตที่เร็วขึ้น เว็บไซต์สำหรับโพสต์และดูภาพวิดีโอจึงผุดขึ้นเป็นว่าเล่นนับหลายสิบแห่ง

แม้กระทั่งเว็บไซต์ค้นหาระดับโลกอย่าง Google ก็เข้าร่วมวงกับเขสด้วย การเปิดตัว Google Video ตามมาด้วยการซื้อเว็บไซต์วิดีโอชั้นนำอย่าง YouTube ไปอยู่ในมือ อย่างไรก็ตามเว็บไซต์เหล่านี้มีข้อจำกัดที่เหมือนๆ กันคือ ดูแต่ตาแต่ไม่ให้ดาวน์โหลดมาเก็บ วิดีโอต่างๆ สามารถเปิดชมผ่านเว็บไซต์เท่านั้น แต่คุณไม่สามารถดาวน์โหลดมาเก็บที่เครื่องเพื่อเปิดดูภายหลังได้
แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ก็หมดไป เมื่อมีผู้พัฒนาเว็บไซต์ KeepVid เพื่อให้คุณสามารถดาวน์โหลดวิดีโอจากเว็บไซต์กว่า 45 แห่ง มาเก็บไว้เปิดดูได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
ขั้นตอนการดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอ
1. เปิดเข้าไปยังเว็บเพจแสดงวิดีโอจาก YouTube, Google Video หรือที่ที่คุณต้องการดาวน์โหลด จากนั้นก๊อบปี้ URL ด้านบน
2. เปิดเว็บไซต์ http://keepvid.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คุณสามารถดาวน์โหลดวิดีโอได้ตามต้องการ จากนั้นเพสต์ URL ที่ก๊อบปี้มาไว้ในช่องด้านบนและเลือกเว็บเว็บไซต์ที่เก็บไฟล์วิดีโอนั้น ตามด้วยการคลิกปุ่ม Download
3. ลิงก์สำหรับการดาวน์โหลด(Download Link) จะปรากฏขึ้นให้คุณคลิกเพื่อทำการดาวน์โหลดวิดีโอ หรือจะก๊อบปี้ลิงค์แล้วใช้โปรแกรมดาวน์โหลดของคุณเช่น GetRight, FlashGet เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ คุณจะได้ไฟล์ชื่อ get_video.flv ก็เป็นอันเรียบร้อย
คุณสามารถเปิดดูไฟล์ในฟอร์แมต flv ที่ดาวน์โหลดมาโดยตรงด้วยโปรแกรม FLVPlayer ซึ้งแจกให้ใช้งานฟรี ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.download.com/FLVPlayer

มองแรมให้เต็ม 4 GB ด้วย Vista 32 บิต

สาเหตุที่วินโดวส์ไม่สามารถมองเห็นหรือใช้งานแรมได้เต็ม 4 GB นั้นก็เนื่องมาจากวินโดวส์ไม่ได้ใช้แอดเดรสทั้ง 32 บิตไปกับแรมของเครื่องทั้งหมด แต่มันยังต้องใช้บางส่วนเพื่อไปอ้างอิงแอดเดรสกับหน่วยความจำของอุปกรณ์บางชนิด เช่น ที่เห็นหลักๆ ก็คือกราฟิกการ์ด ซึ่งเดี๋ยวนี้นั้นมีแรมมาให้บนการ์ดเองอย่างต่ำก็ 256 MB เข้าไปแล้ว หรือ บางรุ่นก็มีขนาดใหญ่ถึง 1 GB เลยที่เดียว ซึ่งหน่วยความจำบนการ์ดเหล่านี้จำเป็นต้องถูกอ้างอิงจากระบบปฏิบัติการด้วย ไม่อย่างนั้นระบบปฏิบัติการจะไม่สามารถส่งข้อมูลที่เป็น Frame Buffer ไปยังกราฟิกการ์ดได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บางเครื่องมองเห็นแรมแค่ 3.5 GB บ้าง หรือ บางเครื่องมองเห็นแค่ 3 GB บ้าง ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดคือกลับไปใช้การ์ด sis 6326 รุ่นคลาสสิกพร้อมแรมบนการ์ด 8 MB เพื่อไม่ให้วินโดวส์ต้องเสียแอดเดรสไปกับการอ้างอิงแรมการ์ดมากนัก

แต่วิธีที่กล่าวมานั้นก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถใช้กับทุกเครื่องได้โดยเฉพาะเครื่องโน้ตบุ๊ก ดังนั้นผมจึงนำเอาวิธีการที่สุดยอดกว่ามาฝากกันด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล ซึ่งเป็นวิธีที่เราสามารปลดล็อกแอดเดรสอีก 4 บิตของวินโดวส์ออกมาใช้งานได้เพื่อให้วินโดวส์ที่เราใช้งานกลายเป็นวินโดวส์ 36 บิตนั่นเอง เมื่อวินโดวส์ของเรามีแอดเดรสที่มากถึง 36 บิตแล้วก็เท่ากับว่า 236=68,719,476,736 หรือ ประมาณ 60-70 กิกะไบต์ เหลือเฟือทีเดียว โดยที่ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะต้องถูกแบ่งไปอ้างอิงให้กับกราฟิกการ์ดเท่าไหร่
วิธีการที่เราจะใช้นั้นเป็นเทคนิคที่เรียกว่าการเปิดโหมดอ้างอิงแอดเดรสหน่วยความจำแบบ PAE (Physical Address Extension) ซึ่งเป็นวิธีการที่ระบบปฏิบัติการใช้อ้างอิงหน่วยความจำแบบใหม่ช่วยให้เราสามารถขยายขีดความสามารถของระบบขึ้นไปได้อีก 4 บิตนั่นเอง แต่นี้ก็ต้องมีเงื่อนไขอยู่ว่าซีพียูที่คุณใช้งานอยู่นั้นจะต้องสามารถรองรับการทำงานแบบ 64 บิตด้วย
การเปิดโหมด PAE นั้นก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เข้าไปยัง Command Line แต่คุณจำเป็นต้องรันด้วยสิทธิ์ของ administrator เท่านั้น จึงต้องเขาไปที่ Start Menu > Accessories > Command Prompt แต่แทนที่จะคลิกซ้ายเพื่อรันธรรมดา ให้คลิกขวาแล้วเลือก run as administrator แทน เมื่อเข้าถึงหน้าต่าง DOS แล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง

BCDedit /set nx AlwaysOff
BCDedit /set PAE forceenable

ซึ่งคำสั่งนี้จะเป็นการบังคับให้ระบบปฏิบัติการปิดฟังก์ชันการทำงานของ DEP (Data Execution Prevention) และเปลี่ยนไปใช้วิธีการอ้างอิงแอดเดรสของหน่วยความจำแบบใหม่ทันทีหลังจากเราได้ทำการรีสตาร์ตเครื่อง ซึ่งเหตุผลที่เราจำเป็นจะต้องไปปิดการทำงานของ DEP ก่อนก็เพราะว่า PAE และ DEP นั้นมีความสัมพันธ์กัน และ PAE จะถูกปิดการทำงานโดยอัตโนมัติหาก DEP ถูกปิด ดังนั้นเราจึงได้สั่ง DEP ปิดตัวเองไปตลอดเลย แล้วบังคับให้เปิดโหมด PAE แทน
การทำงานในโหมด PAE เอง แม้ว่าจะสามารถทำให้คุณสามารถทำให้คุณมองเห็นแรมได้เต็ม 4 GB จริง แต่นั่นก็ต้องยอมแลกมาด้วยการทำงานที่ช้าลงเนื่องจากจามปกติ Vista จะใช้เวลาในการทำ page translate แค่ 2 รอบเท่านั้น แต่ด้วยวิธีการใหม่จะต้องใช้ถึง 3 รอบ ดังนั้นคุณอาจจะได้แรมเพิ่มขึ่นมาก็จริง แต่ความเร็วอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่คิดก็เป็นไปได้เช่นกัน

เหตุผลที่คุณควรใช้ไฟร์วอลล์คอมพิวเตอร์

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีไฟร์วอลล์เปรียบได้กับการที่คุณเสียบกุญแจ ทิ้งไว้ในรถยนต์ของคุณ แล้วเข้าไปยังร้านค้า โดยเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ และไม่มีการล็อคประตู แม้ว่าคุณจะเข้าไปในร้านค้านั้น แล้วออกมาโดยที่ยังไม่มีใครทันสังเกตเห็นคุณ แต่บางคนอาจใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ในอินเทอร์เน็ต แฮกเกอร์จะใช้โค้ดที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจันเพื่อค้นหาประตูที่ไม่ได้ล็อคไว้ ซึ่งก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีการป้องกัน ไฟร์วอลล์จะสามารถช่วยป้องกันคอมพิวเตอร์ของคุณจากการคุกคามเหล่านี้ รวมทั้งการโจมตีการรักษาความปลอดภัยอื่นๆ

แฮกเกอร์สามารถทำอะไรได้บ้าง ผลที่เกิดขึ้นอยู่กับลักษณะของการโจมตี ในขณะที่แฮกเกอร์บางคนอาจกระทำการบางอย่างเพียงเพื่อก่อกวนให้เกิดความรำคาญ เท่านั้น แต่บางรายอาจตั้งใจทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งในกรณีนี้ อาจเป็นความพยายามที่จะลบข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ทำให้ระบบการทำงานเสียหาย หรือขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่าน หรือหมายเลขบัตรเครดิต แฮกเกอร์บางรายไม่มีเจตนาอื่น นอกจากการเจาะเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่ เพียงพอ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจันอาจสร้างความตกใจให้กับคุณ แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงในการติดไวรัสดังกล่าวได้ด้วยการใช้ไฟร์วอลล์


วิธีการเลือกไฟร์วอลล์
ไฟร์วอลล์ จะตรวจสอบข้อมูลที่มาจากหรือส่งไปยังอินเทอร์เน็ต โดยจะแยกและยกเว้นข้อมูลที่มาจากตำแหน่งที่อันตรายหรือน่าสงสัย ถ้าคุณตั้งค่าไฟร์วอลล์ของคุณอย่างเหมาะสม แฮกเกอร์ที่ค้นหาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ จะไม่พบเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ


ประเภทของไฟร์วอลล์ที่มีอยู่โดยทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเภทขั้นตอนแรกในการเลือกไฟร์วอลล์คือการพิจารณาว่าไฟร์วอลล์ประเภทใดที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ โดยดูจากตัวเลือกต่อไปนี้

- ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์

- ฮาร์ดแวร์เราเตอร์

- เราเตอร์ไร้สาย


ก่อนเริ่มตัดสินใจ ให้คุณตอบคำถามต่อไปนี้ (แล้วบันทึกคำตอบของคุณ)
คอมพิวเตอร์ที่จะใช้ไฟร์วอลล์มีทั้งหมดกี่เครื่อง คุณใช้ระบบปฏิบัติการอะไร (รุ่นของ Microsoft Windows®, Macintosh หรือ Linux) เพียงเท่านี้ คุณก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นคิดว่าไฟร์วอลล์ประเภทใดที่คุณจะใช้ คุณมีตัวเลือกอยู่หลายตัวเลือก โดยแต่ละตัวเลือกก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน


Internet Connection Firewall (เฉพาะ Windows Xp เท่านั้น)
Internet Connection Firewall (ICF) เป็นโปรแกรมที่ติดมากับ Windows XP โดยไม่ใช่โปรแกรมที่ทำงานแบบสแตนด์อโลน หรือใช้งานจาก Windows รุ่นอื่นๆ นอกจาก Windows XP หรือระบบปฏิบัติการอื่นๆ (เช่น Apple Macintosh หรือ Linux)

ข้อดี
- ซอฟต์แวร์นี้เป็นชุดซอฟต์แวร์ที่ติดมากับ Windows XP
- คุณไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์

ข้อเสีย
- คุณไม่สามารถใช้โปรแกรมนี้กับคอมพิวเตอร์หลายเครื่องได้
- มีใน Windows XP เท่านั้น


ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์
ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์จะทำงานกับ Windows 98, Windows ME และ Windows 2000 ได้ดี ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละ เครื่อง ไฟร์วอลล์เหล่านี้ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ต่างๆ คุณไม่จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ใน Windows XP เนื่องจากใน XP มีไฟร์วอลล์ติดตั้งมาให้แล้ว

ข้อดี
- ไม่ต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม
- ไม่จำเป็นต้องเดินสายคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม
- ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง

ข้อเสีย
- ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: การใช้ซอฟต์แวร์ไฟร์วอลล์โดยส่วนใหญ่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย
- ก่อนเริ่มใช้งานอาจต้องมีการติดตั้งและตั้งค่า
- จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง


ฮาร์ดแวร์เราเตอร์
ฮาร์ดแวร์เราเตอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับเครือข่ายภายในบ้านที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

ข้อดี
- โดยปกติ ฮาร์ดแวร์เราเตอร์จะมีพอร์ตเครือข่ายอยู่ 4 พอร์ตเพื่อใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้าด้วยกัน
- ฮาร์ดแวร์เราเตอร์สามารถให้บริการไฟร์วอลล์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง

ข้อเสีย
- จำเป็นต้องมีการเดินสาย ซึ่งจะทำให้พื้นที่วางเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่น่าดู


เราเตอร์ไร้สาย
ถ้าคุณมีหรือวาง แผนที่จะใช้เครือข่ายแบบไร้สาย คุณจำเป็นต้องใช้เราเตอร์ไร้สาย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่มีไฟร์วอลล์ติดมากับเราเตอร์ คุณจึงต้องซื้อไฟร์วอลล์แยกต่างหาก

ข้อดี
- เราเตอร์ไร้สายช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เครื่อง PDA และเครื่องพิมพ์ได้โดยไม่ต้องใช้สาย
- เราเตอร์ไร้สายใช้สำหรับการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเข้ากับอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายได้เป็นอย่างดี

ข้อเสีย
- เราเตอร์ไร้สายกระจายข้อมูลโดยใช้คลื่นวิทยุ ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นที่อยู่ภายนอกบ้านของคุณสามารถดักข้อมูลนั้นไปได้ (โดยใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม)
- คุณจำเป็นต้องใส่การ์ดเครือข่ายไร้สายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ เราเตอร์ไร้สาย ดังนั้นคุณอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม
- โดยส่วนใหญ่จะไม่มีไฟร์วอลล์ติดมากับเราเตอร์ คุณอาจต้องซื้อไฟร์วอลล์แยกต่างหาก

วิธีป้องกันและการดูแลรักษา Printer Inkjet

Inkjet Printer เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หมึกน้ำในการพิมพ์ ภาพที่ออกมาจะสวยสมจริงมาก โดยเฉพาะถ้าใช้ความละเอียดในการพิมพ์สูงกับ Glossy Paper งานพิมพ์ที่ออกมาจะเหมือนกับภาพถ่าย แต่มีข้อเสียที่หัวพิมพ์คือ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะหัวพิมพ์ค่อนข้างบอบบาง และหมึกที่ใช้พิมพ์เป็นหมึกน้ำซึ่งสามารถระเหยได้ง่าย ฉะนั้นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ การอุดตันของหัวพิมพ์

วิธีการป้องกันการอุดตันของหัวพิมพ์

- เครื่อง Printer ควรถูกใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
- ถ้าไม่มีการใช้งาน ควรเปิดเครื่อง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อให้หัวพิมพ์ตรวจสอบสถานะน้ำหมึกภายในหัวพิมพ์ (หัวพิมพ์จะทำการฉีดหมึกใหม่เข้าไปและไล่น้ำหมึกเก่าออกซึ่งอาจจะเป็นการ สิ้นเปลืองน้ำหมึก แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าของหัวพิมพ์ในการซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่จะคุ้มกว่า)
- ก่อนนำตลับหมึกใส่ลงไปในเครื่อง ควรเขย่าตลับให้น้ำหมึกมารวมอยู่ด้านที่หัวพิมพ์จะเจาะเข้าไปเสียก่อน เพื่อให้หัวพิมพ์สามารถตรวจสอบหมึกภายในตลับได้ง่าย และเป็นการป้องกันการเกิดปัญหากับหัวพิมพ์ด้วย (เพราะเมื่อหัวพิมพ์เจาะเข้าไปแล้วดูดไม่เจอน้ำหมึกอากาศจะเข้าไปแทนน้ำหมึก ในช่องทางเดินหมึกซึ่งจะเป็นผลเสียต่อหัวพิมพ์ได้)

วิธีการดูแลรักษา Printer ให้ใช้งานได้ดีอยู่ตลอดเวลา

- ควรตั้งเครื่องพิมพ์ในบริเวณที่มีฝุ่นละอองน้อย และหากมีผ้าคลุมเครื่องพิมพ์เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขณะไม่ได้ใช้งานจะดีที่สุด
- ไม่ควรปล่อยให้เครื่องพิมพ์ไม่มีตลับหมึกในเครื่อง เพราะจะทำให้อากาศเข้าไปทำให้เกิดปัญหาหัวพิมพ์อุดตันได้ ควรสำรองตลับหมึก และเปลี่ยนทันทีเมื่อเครื่องพิมพ์แสดงไฟสถานะหมึกหมดติดสว่างเป็นสีแดง
- หากไม่มีการใช้งานเครื่องพิมพ์เป็นระยะเวลานาน ควรมีการเปิดเครื่องพิมพ์อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ สังเกตไฟแสดงสถานะเครื่องเปิดจะกระพริบ แล้วรอจนกระทั่งติดสว่าง จากนั้นค่อยปิดเครื่อง (เพื่อให้เครื่องพิมพ์ตรวจสอบระบบการทำงาน และระบบฉีดหมึกของหัวพิมพ์) มิฉะนั้นอาจทำให้หัวพิมพ์เกิดการอุดตันได้

เทคโนโลยีกริดคืออะไร?

เทคโนโลยีกริด คือเทคโนโลยีในการนำเอาพลังในการประมวลผลในด้านต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ ที่กระจายตัวกันอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต มาใชงานร่วมกันเสมือนหนึ่งว่าระบบดังกล่าวเป็นระบบเดียวกัน หรืออาจเรียกได้ว่าระบบกริดได้สร้างภาพขององค์กรเสมือน (Virtual Organization) ให้กับผู้ใช้


เทคโนโลยีกริดได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้นตั้งแต่ราวปี 1990 โดยได้รับแรงผลักดันจากทั้งภาคการศึกษา ธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยเชื่อกันว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นก้าวย่างถัดไปของการพัฒนาเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต เหมือนที่เทคโนโลยี www ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของโลก IT มาก่อนหน้านี้แล้ว

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีกริดในโลก ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหลายๆฝ่าย ทั้งฝ่ายภาครัฐ ได้แก่ภาคการศึกษา วิจัย โดยเฉพาะงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้พลังในการประมวลผลที่สูงมาก ซึ่งในปัจจุบันนานาประเทศได้มีการจัดตั้งโครงการกริดแห่งชาติขึ้น เพื่อดำเนินการด้านการสนับสนุนเทคโนโลยีกริดภายในประเทศ

ในส่วนของ ภาคธุรกิจ ได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกริดโดยเน้นไปที่การเข้าถึงข้อมูล และการทำงานร่วมกันระหว่างแอพลิเคชั่นต่าง Platform กันโดยอาศัยเทคโนโลยีกริดเป็นตัวกลางเป็นหลัก

จับผิดความเร็วอินเทอร์เน็ต

www.speedtest.or.th
เห็นโฆษณามากมายกับบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่วันนี้ไปไกล ถึง 12 Mbps

ความ เร็วขั้นเทพ ถึงขนาดส่งช้างไปได้ทั้งตัวแบบนี้...แต่บางครั้งก็ยังทำให้ผู้บริโภคอย่าง เรา ๆ ค้างคาใจ กับปัญหากระตุกหรือช้าไม่ทันใจ พาลสงสัยว่าเงินที่เสียเพิ่มไปนั้น ได้ความเร็วเพิ่มจริงหรือไม่

ปัญหานี้..จึงกลายเป็นปัญหาสำคัญของบรรดาผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ซึ่ง นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) หน่วยงานในสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) บอกว่าปัจจุบันผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีประมาณ 13.6 ล้านคน ที่ผ่านมา สบท.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค เกี่ยวกับบริการอินเทอร์เน็ต ปรากฏว่า เรื่องประสิทธิภาพและความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ใช้ไม่เป็นไปตามที่ผู้ให้ บริการโฆษณา เป็นเรื่องที่ถูกร้องเรียนเข้ามามากที่ สุดถึง 90%

ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ใช้บริการตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต จากเว็บไซต์ต่าง ๆ มีประมาณ 80,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งการตรวจสอบเหล่านี้ เป็นไปแบบชั่วขณะไม่มีการเก็บข้อมูลหรือประมวลผลหาสาเหตุที่แท้จริง

สบท.จึงร่วมมือกับ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทยจัดทำ “โครงการสำรวจและทดสอบคุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ต ปี 2552”

ผู้บริโภคสามารถทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ใช้ผ่าน www.speedtest.or.th เรียกว่าเป็นศูนย์กลางตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต

ด้าน พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย บอกถึงหลักการทำงานของระบบทดสอบความเร็วนี้ว่า เมื่อผู้บริโภคเข้าทดสอบผ่านเว็บ ระบบจะทดสอบกับผู้ให้บริการรายนั้นทันที แบบเรียลไทม์

โดยระบบจะเปิดโปรแกรมขนาดเล็ก (Java applet) ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ทดสอบ โปรแกรมดังกล่าวจะทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลขนาดเล็กไปยังเครื่องแม่ข่าย ของผู้ให้บริการรายนั้น ๆ โดยอัตโนมัติ ซึ่งปัจจุบันสมาคมได้วางเซิร์ฟเวอร์ไว้ที่ผู้ให้บริการ 9 รายจำนวน 11 แห่งในประเทศไทยและอีก 4 แห่งในต่างประเทศ และจะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลกลาง

พ.ต.อ.ญาณพล บอกอีกว่า การทดสอบนี้จะเป็นการทดสอบความเร็ว ณ ช่วง เวลาใด ช่วงเวลาหนึ่ง ความเร็วที่ตรวจสอบได้ อาจจะไม่เท่ากันใน ทุกครั้งที่ทดสอบ เนื่องจากมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อความเร็ว เช่น ปัญหาคอขวด ทำให้การรับส่งข้อมูลไปกระจุกตัวอยู่ทำให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลลดลง หรืออุปกรณ์เน็ตเวิร์กพวกเร้าท์เตอร์ ถูกใช้งานจนเกินประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูล หรือช่วงเวลาในการใช้งานที่หนาแน่นก็ทำให้ความเร็วของการเชื่อมต่ออินเทอร์ เน็ตลดลงได้

โครงการนี้ ทั้ง สบท.และสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย บอกว่าไม่ใช่การจับผิด แต่ต้องการเป็นระบบกลางที่น่าเชื่อถือ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการให้ บริการแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้บริการอินเทอร์เน็ต ต่าง ๆ

หากมีปัญหาเรื่องคุณภาพบริการจริง จะมีการส่งต่อข้อมูลให้กับ กทช. และคงต้องกลับมาดูเรื่องมาตรฐานการให้ข้อมูลผู้บริโภคด้วย ว่า...ไม่ใช่แค่ราคาคุย !!!

ช่วยกันคลิกเข้าไปเทสต์กันหน่อย แล้วอีก 3 เดือนมาดูกันว่า คุณภาพความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้านเราเป็นอย่างไร !!!!.

Ubuntu 9.10 ใช้เวลาบูต 5 วินาทีบน SSD

Ubuntu 9.10 "Karmic Koala" ที่จะออกช่วงปลายเดือนตุลาคม ออกรุ่น Alpha 6 เมื่อสัปดาห์ก่อนและปรับปรุงเรื่องเวลาที่ใช้บูตเครื่องเป็นอย่างมาก

ทีมงานของ Ars Technica ทดสอบบน Dell Inspiron 1420n พบว่าใช้เวลาเพียง 22 วินาที แต่ทีเด็ดอยู่ที่สถิติของ Canonical ที่ทดสอบกับ SSD และใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้น!!!

เทคนิคสำคัญที่ใช้ร่นเวลาการบูตคือ sreadahead ซึ่งอ่านไฟล์ที่จำเป็นต่อการบูตล่วงหน้า และจะเห็นผลชัดเจนเมื่อใช้ SSD ส่วนเทคนิคอีกอันที่ Ubuntu ใช้คือ Upstart ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่รุ่น 6.10 แต่มาปรับใช้อย่างจริงจังในรุ่นนี้ ทาง Canonical ตั้งเป้าว่า Ubuntu 10.04 จะต้องใช้เวลาบูตไม่เกิน 10 วินาที

ใครลองแล้วฝากช่วยยืนยัน ใครยังไม่ได้ลอง รออ่านรีวิวหลังตัวจริงออก

Dead Pixel บนจอแอลซีดีแก้ไขได้

จุดสีดำปริศนาบนแอลซีดีที่ถูกเรียกว่า “Stuck Pixel” หรือ “Dead Pixel”

จุดพิกเซลที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่นเป็นสี่เหลี่ยม หรือวงกลม ตามประเภทของจอ (เครดิต: Wikipedia)

ภาพจุดพิกเซลสีแดง เขียว และน้ำเงินของ LCD Monitor (เครดิต Wikipedia)

การใช้ซอฟต์แวร์แก้ปัญหา Dead Pixel

หลายคนเซ็งเมื่อเห็น"จุดสีดำ"ที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออกซะทีบนหน้า จอแอลซีดีคู่ใจ วิกฤตจุดดำบนจอแอลซีดีถูกเรียกว่า “Dead Pixel” บ้าง “Stuck Pixel” บ้าง ต่อไปนี้คือวิธีแก้ไขเบื้องต้นที่อาจทำให้จุดดับบนจอหายไปโดยที่คุณไม่ต้อง ส่งซ่อมให้ยุ่งยาก

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการผลิตจอ LCD จะเดินทางมาไกลจนกระทั่งมี “วุฒิภาวะ” ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม และกระบวนการผลิต LCD Panel ในปัจจุบันก็มีความแม่นยำสูงมาก แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าจอ LCD นั้นประกอบไปด้วยพิกเซลนับแสนหรือนับล้านจุด จึงเป็นไปได้ที่จุดพิกเซลจำนวนหนึ่ง (จากจุดนับล้านจุด) จะเสียหายจากการผลิต หรือเสื่อมไปก่อนเวลาอันควร ในขณะที่จุดพิกเซลที่เหลือยังคงทำงานได้ตามปกติ

คำว่า “พิกเซล” (Pixel) เป็นคำผสมที่เกิดจากคำว่า Pix (“pictures”) และ el (“element”) หมาย ถึงหน่วยเล็กที่สุดของภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ หรือบนกระดาษ หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นหนึ่งใน “จุด” เล็กๆ หลากสีที่เรียงชิดติดกันจนเป็นภาพที่เราสามารถรับรู้ได้นั่นเอง จอภาพที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นจอ CRT, LCD หรือ Plasma ต่างก็ประกอบไปด้วยจุด “พิกเซล” สีแดง น้ำเงิน และเขียว เรียงชิดติดกันเป็นจำนวนมหาศาลทั้งสิ้น และจุดต่างๆ เหล่านี้ก็จะดับและสว่างตามคำสั่งของวงจรควบคุม เพื่อเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา และเมื่อประกอบกับจุดสีต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก็จะทำให้เกิดภาพที่เรามองเห็นได้บนจอแสดงผล
จุดพิกเซลอาจมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่น สี่เหลี่ยม หรือวงกลม ขึ้นอยู่กับประเภทของจอ
เจ้าของจอ LCD หลายคนเคยพบปัญหา Stuck Pixel หรือ Dead Pixel อาการของปัญหานี้มี 2 แบบ ได้แก่

อาการแบบที่ 1: เมื่อจอแสดงภาพสีดำสนิท จะสังเกตเห็นว่าจุดบางจุดบนจอสว่างอย่างถาวร โดยจุดที่สว่างอาจเป็นสีแดง น้ำเงิน หรือเขียว ก็ได้ และถึงแม้จอจะเปลี่ยนไปแสดงภาพสีอื่นๆ จุดสว่างดังกล่าวก็ยังสว่างค้างเป็นสีเดิมอยู่ เราเรียกอาการนี้ว่า “Stuck Pixel” แต่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “Stuck Pixel” คือ “Dead Pixel” ซึ่งจริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อาการแบบที่ 2: จุดบางจุดบนจอดับสนิทอย่างถาวร ไม่ว่าจอจะแสดงภาพใดอยู่ก็ตาม ซึ่งเราเรียกพิกเซลที่มีอาการนี้ว่า “Dead Pixel” หรือพิกเซลที่ “ตาย” แล้วนั่นเอง บทความนี้จะนำเสนอวิธีการแก้ไข “Stuck Pixel” เท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการแก้ไข “Dead Pixel”

วันนี้ LCDSPEC ขอนำเสนอเทคนิคต่างๆ ในการกำจัด Stuck Pixel ครับ แต่ ก่อนจะศึกษาเทคนิคการกำจัด Stuck Pixel คุณควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามขั้น ตอนในบทความนี้เสียก่อน ได้แก่

- ถ้าผู้ผลิตจอ LCD ของคุณกำหนดเงื่อนไขการรับประกันที่ครอบคลุมถึง Stuck/Dead Pixel อยู่แล้ว เมื่อจอของคุณเกิด Stuck pixel ขึ้น คุณควรปรึกษาบริษัทผู้ผลิตเสียก่อน และไม่ควรซ่อม Stuck pixel ด้วยตนเอง

- เทคนิคการกำจัด Stuck Pixel เป็นเทคนิคที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และเป็นเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้ในหลายๆ กรณี LCDSPEC จะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจอ LCD จากการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ในบทความนี้

- หลีกเลี่ยงการเปิดจอ LCD เพื่อดูอุปกรณ์ภายใน เพราะจะทำให้จอของคุณสิ้นสุดการประกันจากบริษัทผู้ผลิตโดยทันที

- หากคุณใช้เทคนิคที่ต้องใช้น้ำ กรุณาหลีกเลี่ยงการทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ของจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์เปียกน้ำ

- หลายๆ คนกล่าวว่าการใช้แรงกดบนเม็ด Pixel ของจอ LCD แล้วจะทำให้จอ LCD เสียหายมากขึ้นกว่าเดิม (ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ก็ตาม) หากคุณปฏิบัติตามวิธีในบทความนี้อย่างเคร่งครัด ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายดังกล่าวได้

- จอ LCD ประกอบไปด้วยผลึกแก้วหลายๆ ชั้น (layer) ซึ่งมีความละเอียดและบอบบางเป็นอย่างมาก การใช้แรงกด หรือแตะ อาจทำให้ชิ้นส่วนบอบบางเหล่านั้นเกิดความเสียหายได้ คุณจึงต้องยอมรับความเสี่ยงดังกล่าวหากคุณต้องการปฏิบัติตามขั้นตอนที่นำเสนอในบทความนี้

หากคุณยอมรับทุกข้อที่กล่าวมา ต่อไปนี้คือ 4 เทคนิคเพื่อการกำจัด Stuck Pixel ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ได้แก่ การใช้ซอฟต์แวร์ การใช้แรงกด การแตะหรือเคาะเบาๆ และการใช้ความร้อน

##เทคนิคการใช้ Software

เทคนิค นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า Stuck Pixel สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เมื่อมันถูกเปิด/ปิด ซ้ำๆ กันอย่างรวดเร็ว คุณควรลองใช้เทคนิคนี้ก่อนเป็นอันดับแรก และหากเทคนิคนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้คุณได้ จึงค่อยเปลี่ยนไปปฏิบัติตามเทคนิคถัดไป เทคนิคการใช้ Software นี้ใช้ได้ดีกับ LCD Monitor แต่ก็ไม่ผิดกติกาอะไรหากคุณจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปต่อกับ LCD TV แล้วรัน Software เหล่านี้

คุณสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้จาก Website ต่อไปนี้:

JScreenFix – เว็บไซท์ที่ใช้ Java Applet ซึ่งเป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่จะช่วยขจัด Stuck pixel โดยการเปิด/ปิด พิกเซลแต่ละจุดบนจอเป็นจำนวน 60 ครั้งต่อวินาที
JeffPatch.com blog – สำหรับคนที่ใช้เครื่อง Mac ที่ Blog นี้ก็มีวีดีโอภาพกระพริบจาก Sony ที่อาจช่วยแก้ไข Stuck Pixel ได้
DPT 2.20 – โปรแกรมบน Windows ที่สามารถช่วยให้คุณค้นหา Stuck pixel ได้ง่ายขึ้น และมี “Pixel Exerciser” ที่ช่วยให้ Pixel ที่เสียหายกลับมาทำงานได้อย่างเดิม
UDPixel 2.1 – ฟรีแวร์บน Windows ที่ช่วยคุณค้นหา และแก้ไข Stuck Pixel
LCD Scrub – Screensaver สำหรับเครื่อง Mac ที่แสดงภาพกระพริบบนจอ เพื่อช่วยแก้ไข Stuck Pixel และแก้ไขอาการ Burn-in
##เทคนิคการใช้แรงกด

1.ปิดจอ LCD ของคุณ
2.นำผ้านิ่มๆ ชุบน้ำหมาดๆ (ถ้าใช้น้ำอุ่นจะได้ผลดีขึ้น และห้ามใช้ผ้าเปียก) มาห่อบริเวณหัวปากกาลูกลื่น, ดินสอ, ไขควงเล็กๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีหัวแหลมคมที่จะทำให้จอ LCD เป็นรอยได้ เราขอแนะนำให้ใช้ปากกา Stylus ที่มากับเครื่อง PDA หรือ Smartphone สำหรับการนี้
3.ใช้ยาง หรือเชือกเส้นเล็กๆ มัดผ้าที่ห่อบริเวณหัวปากกาไว้ เพื่อไม่ให้ผ้าหลุดออกมาในขณะที่คุณนำปากกาไปกดบนจอ
4.นำ ปากกาที่เตรียมไว้ไปกดเบาๆ ที่ Stuck Pixel โดยพยายามกดให้ตรงกับจุด Pixel ที่เสียหายมากที่สุด การกดผิดพลาดอาจทำให้จุด Pixel ที่อยู่ข้างเคียงเสียหายตามไปด้วย
5.ระหว่างที่กด Stuck Pixel ให้กดปุ่ม Power ของจอ LCD เพื่อเปิดให้จอทำงาน
6.นำปากกาออกจากจอ แล้วตรวจสอบดูว่า Stuck Pixel หายเป็นปกติหรือไม่ หากยังไม่หายเป็นปกติ ให้ทำตามขั้นตอนข้อ 4 และ 5 อีกครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดให้มากขึ้นทีละนิด

##เทคนิคการแตะ/เคาะเบาๆ ที่ Stuck Pixel

1.นำจอ LCD มาต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และเปิดจอ LCD และเครื่องคอมพิวเตอร์
2.ใช้ โปรแกรมแต่งภาพสร้างภาพสีดำล้วน ที่มีขนาดเท่ากับจอ LCD ของคุณ เช่นหากคุณใช้จอ Full HD ก็ควรสร้างไฟล์ภาพสีดำที่มีขนาด 1,920 x 1,080 พิกเซล เป็นต้น แล้วนำภาพสีดำที่สร้างขึ้นมาแสดงแบบเต็มจอ ซึ่งการแสดงภาพสีดำนี้จะทำให้คุณสามารถมองเห็น Stuck pixel ได้อย่างชัดเจน
3.ใช้ ปากกาที่มีไม่มีหัวแหลมคม หรือใช้ Stylus ที่มากับเครื่อง PDA/Smartphone แตะเบาๆ ที่ Stuck Pixel ไม่ควรใช้แรงกดมากเกินไป แต่แรงกดนั้นจะต้องมากพอที่จะทำให้เม็ดพิกเซลที่ถูกแตะกระพริบแสงสีขาวๆ ในขณะที่ถูกแตะ หรือกล่าวได้ว่าหากเม็ดพิกเซลไม่กระพริบแสงสีขาว แสดงว่าคุณยังแตะมันไม่แรงพอนั่นเอง
4.พยายามแตะเป็นจังหวะอีก 5-10 ครั้ง โดยค่อยๆ เพิ่มแรงกดทีละนิด จนกว่าอาการ Stuck Pixel จะหายไป
5.นำ ไฟล์รูปภาพสีขาวล้วนแบบเต็มจอมาแสดง แล้วดูว่าอาการ Stuck Pixel หายไปหรือไม่ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำให้ Pixel ข้างเคียงเกิดความเสียหาย

##เทคนิคการใช้ความร้อน

เทคนิค นี้มีประโยชน์ในกรณีที่เม็ด pixel กลายเป็นสีขาวหรือสีดำในบริเวณกว้าง และสามารถใช้ได้ดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ค (แต่ก็ใช้ได้กับจอ LCD ทั่วไปได้เช่นกัน) การใช้เทคนิคนี้ มีความเสี่ยงที่จะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคภายในจอ หรือภายในเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊คบุ้คเสียหายจากความร้อนได้ คุณจึงควร Backup ข้อมูลสำคัญไว้ก่อนจะลงมือปฏิบัติ และเทคนิคนี้อาจไม่ช่วยให้เม็ด Pixel ที่เสียหายเป็นบริเวณกว้างกลับมาเป็นปกติได้ทั้งหมด หรือถึงแม้จะแก้ไข Stuck Pixel ได้สำเร็จ จอของคุณก็อาจกลับมามีอาการเดิมอีกครั้ง

คุณสามารถแก้ไข Stuck Pixel โดยใช้ความร้อนตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1.เทคนิค นี้จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หรือเป็นวัน เราจึงแนะนำให้คุณเสียบปลั๊กเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คแทนการใช้พลังงานจาก แบตเตอรี่
2.ไปที่ Power Settings ใน Control Panel และตรวจสอบให้แน่ใจว่า Windows จะไม่ดับจอ LCD และจะไม่เข้าสู่โหมด Standby หรือ Hibernate เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ (ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องและจอจะถูกเปิดและทำงานตลอดเวลานั่นเอง)
3.กดหน้าจอของโน๊ตบุ้กให้เข้ามาใกล้ keyboard เล็กน้อย แต่ต้องไม่ใกล้ถึงขนาดที่ทำให้เครื่องหยุดทำงาน หลังจากนั้นให้วางโน๊ตบุ้คไว้ในที่แคบๆ ที่อากาศและความร้อนถ่ายเทไม่สะดวก เช่นตู้เล็กๆ หรือลิ้นชัก
4.ปล่อย ให้โน๊ตบุ้คของคุณทำงานอยู่อย่างนั้นหลายๆ ชั่วโมง หรือหลายๆ วัน ควรหมั่นเข้าไปตรวจสอบบ่อยๆ ว่า Stuck Pixel หายไปหรือไม่ การใช้ความร้อนจะทำให้ของเหลวในผลึก LCD ไหลอยู่ในเม็ด Pixel ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้นในบางพื้นที่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ของเหลวดังกล่าวอาจจะไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของวงจรควบ คุม

Firefox 3.6 Beta มาพร้อม Persona และ fullscreen video

Mozilla ประกาศออกมาแล้วว่า Firefox 3.6 Beta จะออกมาพร้อมกับ Persona และการแสดงผล video แบบ fullscreen นอกจากนี้ยังมี feature อื่นๆ อีกมากมาย สำหรับ Firefox 3.6 รหัสพัฒนา Namoroka จะออกเวอร์ชันเต็มๆ ให้ได้ใช้กันประมาณต้นปีหน้า Firefox 3.6 นอกจากจะมีการเอา Persona จากที่เคยเป็น extension โดดๆ ได้เอามารวมไว้ใน Firefox 3.6 นี้แล้วยังมี theme ติดมาด้วย

แถมยังสนับสนุน Web Open Font Format (WOFF) และพัฒนาส่วนของ HTML 5 ส่วน tag video ต่อด้วย ซึ่งตัวเล่น video สนับสนุน playback และการเปิดแบบ full screen อีกด้วยใครเป็นแฟน Firefox อดใจรอไม่ไหว ดาวน์โหลดเวอร์ชัน Beta มาเล่นก่อนได้ สำหรับท่านที่ใจเย็นรอได้ ก็ประมาณต้นปีหน้าครับ

ทำให้ Ubuntu 9.10 boot เร็วขึ้น

หลังจากไปงาน release party หลายคนบอกว่า Ubuntu 9.10 นี้เป็น โดอาล่ามีกรรม เท่าที่ผมสอบถามจากเพื่อนที่ทำงานลงได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จาก 5 เครื่องลงได้เพียง 2 เครื่อง ก็เลยต้องจำใจใช้ 9.04 ต่อไป เมื่อวาน @gumara ฟอร์เวิร์ดเมล์มาจาก Jeroen ให้ลองทดสอบ kernel ใหม่ที่อาจแก้กรรมของโคอาล่าตัวนี้ได้ ผมได้ลองทดสอบแล้วครับว่า ความรู้สึกมันเร็วขึ้นมาจริงครับ

sudo add-apt-repository ppa:ubuntu-boot/ppa
sudo apt-get update
sudo apt-get dist-upgrade

คำสั่งข้างต้นเป็นการติดตั้ง upgrade kernel แกมบอกว่า boot 2 รอบ รับรองเร็วจริง

กำจัดไวรัส MSN IMprofile.net

มันมากันอีกแล้วนะครับ กับไวรัส IMProfile.net โดยการทำงานของมันจะไม่ต่างกับตัวก่อนๆที่ผ่านมามากนักครับ เหมือนๆกับ IMplus, และ blockchecker นั่นล่ะที่อาศัยการส่งข้อความไปเรื่อยๆครับ
อาการ:โปรแกรม MSN ของเราส่งข้อความออกไป โดยที่เราไม่ทราบ (อาจจะทราบจากที่เพื่อนทักว่า ส่งไรไปนั่นล่ะครับ)โดยข้อความที่ส่งไปนั้น จะคล้ายแบบนี้ครับ

rofl @ you http://www.imp rofile.net/members.php?member=[ชื่ออีเมล์ของคุณ]
i hope this isn't you http://s2.im profile.net/?member=[ชื่ออีเมล์ของคุณ]
emo http://www.im profile.net/?member=[ชื่ออีเมล์ของคุณ]

หรืออื่นๆ ในลักษณะที่คล้ายแบบนี้ครับ จะแตกต่างไปตามข้อความข้างหน้า แต่ให้สังเกต url ของเว็บครับจะเป็น improfile ครับ



วิธีการแก้ไข:หลังจากที่ติดไปแล้ว ให้ดาวน์โหลด โปรแกรมกำจัดเจ้า IMProfile ตัวนี้ไป ครับ

http://tech.mthai.com/dl-files/tech.mthai.com-impFix.zip

จากนั้นให้แตกไฟล์ Zip ออกมาครับ และรันโปรแกรม impFix.exe ครับ และโปรแกรมจะมีหน้าตาแบบนี้ครับ



ให้เราคลิก Remove the IMProfile.net ครับ จากนั้นโปรแกรมจะทำการค้นหาและกำจัดเจ้าไวรัสตัวนี้ทันทีครับ ซึ่งจะแสดงให้เห็นใน list ด้านล่างครับ



วิธีการป้องกัน:เมื่อเห็นหรือได้รับข้อความ ที่มีลักษณะข้างต้น อย่าคลิกเด็ดขาดให้แจ้งไปยังผู้ที่ส่งมา ว่าติดไวรัสตัวนี้แล้ว และให้เข้ามาดาวน์โหลดโปรแกรมกำจัดดังกล่าวไปใช้งานครับ



***เพิ่มเติม***

สำหรับท่านที่รันโปรแกรมนี้แล้ว พบหน้าต่างตามด้านล่างนะครับ ไม่ต้องตกใจ เพราะเครื่องท่านไม่มีตัวป่วนตัวนี้ติดอยู่ในเครื่องแต่อย่างใดครับ ดังนั้นโปรแกรมจึงแจ้งว่า พยายามลบไฟล์อันตรายแล้ว หากมีปัญหาอะไรให้แจ้งไปที่เว็บผู้ผลิตครับ

MSN block Checker ใครบล๊อกเรา เราก็เช็คได้

MSN Block Checker เป็น service สำหรับตรวจสอบสถานะการ Block msn ของฝ่ายตรงข้าม โดยปรกติแล้ว MSN เมื่อฝ่ายตรงข้าม Block อีเมล์ของเราแล้ว สถานะของฝ่ายตรงข้ามนั้นจะถูกแสดงเป็น offline ดังนั้น เราจึงไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า เค้าออนไลน์ หรือ ออฟไลน์อยู่
ระบบการตรวจสอบว่า Block หรือไม่นั้น อาศัยระบบเชื่อมต่อ Login เข้าไปยัง Server ของ MSN เหมือนว่า Bot ของเราเป็น User หนึ่งคนที่ signin เข้าไปใช้งานตามปรกติ ดังนั้น จึงสามารถดูได้ว่า ทางฝ่ายตรงข้ามนั้น Online อยู่หรือไม่

สำหรับการใช้งาน ให้กรอกชื่อ อีเมล์ของคนที่คุณต้องการจะ check ลงในช่อง และกด check รอสักครู่ เพื่อดูผลนะครับ หากผลที่ได้ เป็น Online แต่ใน list คุณเห็นเค้า offline นั่นหมายความว่าเค้า Block คุณแล้ว ดังนั้น เมล์ไปขอโทษกันซะนะครับ หุหุ

ส่วนถ้า เห็นเป็น offline ก็ยังไม่ต้องวิตกกังวลไปนะครับ เพราะนั่น แสดงว่า เค้ายังไม่ออนไลน์

สุดท้าย ถ้าผลออกมาเป็น unknow หรือ ระบุไม่ได้ นั่นแสดงว่า ระบบไม่สามารถเข้าระบบตรวจสอบได้

หมายเหตุ ระบบของ Mthai MSN Block Checker นั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้ หากผู้ใช้ท่านนั้นใช้ อีเมล์อื่นๆ ในการ signin msn เช่น username@gmail.com เป็นต้น

นอกจากนี้ หากท่านต้องการเช็ค Block อย่างรวดเร็วสามารถใช้ ลิ้งค์ในรูปแบบของ

http://tech.mthai.com/msn-block-checker.php?email= และตามด้วย อีเมล์ ที่ต้องการเช็ค

เช่น http://tech.mthai.com/msn-block-checker.php?email=service@hotmail.com เป็นต้น