ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของแบตเตอรี่สำหรับโน๊ตบุ๊กได้ถูกพัฒนาขึ้น จากเดิมที่เคยใช้แบตเตอรี่แบบ NiCd เป็นแบบ Lithium ion ที่มีปรัสิทธิภาพมากขึ้นและใช้งานได้นานยิ่งขึ้น แต่การนำโน๊ตบุ๊กไปใช้นอกสถานที่ติดต่อกันเป็นเวลานานทั้งวัน โดยไม่ต้องพกหม้อแปลงชาร์ตไฟไปด้วยนั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก ยังไงเราๆ ท่านๆ ก็ยังคงต้องอยู่กับการต้องแบกโน๊ตบุ๊คและหม้อแปลงซาร์ตไฟไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนกว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพลิกโฉมให้สามารถใช้งานได้นานกว่าที่เป็นอยู่ เราคงต้องมาดูกันว่าเราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองอะไรได้บ้าง กับการใช้โน๊ตบุ๊คที่ใช้แบตเตอรี่ Lithium ion ที่ใช้กันอยุ่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คยืนนานมากยิ่งขึ้น และมีชั่วโมงในการทำงานโดยมาต้องชาร์ตไฟให้มากกว่าเดิม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี และส่วนที่สองจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการยืดชั่วโมงการทำงานโดยไม่ต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้นานยิ่งขึ้น
การใช้และดูแลแบตเตอรี่ให้ถูกวิธี
1. ใช้ครั้งแรกต้องชาร์ตอย่างน้อย 8 ชั่วโมง อย่างแรกที่คุณจะต้องจำไว้เลยทุกครั้งที่ได้โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาก็คือ จะต้องไม่เริ่มเปิดใช้ทันทีที่ชาร์ตแบตเตอรี่พียงพอที่จะเปิดใช้ได้ แต่จะต้องชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มและปล่อยให้ชาร์ตทิ้ไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงติดต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้ชิปภายในตัวแบตเตอรี่มีการตั้งระดับค่าไฟที่ชาร์ตเต็มได้อย่างถูกต้อง และสามารถตัดไฟไม่ให้ชาร์ตได้ทันทีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว
2 . อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่หมดไปเลยเด็ดขาด คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยง และปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ชาร์ตไฟอีกเป็นเวลานาน เพราะถ้าหากคุณทำเช่นนั้น แบตเตอรี่จะหมดไปถึงขีดระดับขีดสุด จนอาจจะทำให้คุณไม่สามารถชาร์ตไปเข้าไปอีกได้ ดังนั้นควรชาร์ตไฟให้แบตเตอรี่ทันทีเมื่อระดับไฟในแบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 10% หรือชาร์ตไฟทันทีที่มีโอกาส เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟในแบตเตอรี่ถูกใช้ไปจนหมด
3. อย่าเสียบปลั๊กชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ตลอดเวลา บางท่านอาจจะชอบลืมเสียบปลั๊กชาร์ตไว้ตลอดทั้งคืน หรือไม่เคยดึงปลั๊กออกเลยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน การทำเช่นนี้อาจจะทำให้ระดับการชาร์ตไฟเต็มลดลง เพราะชิปภายในแบตเตอรี่ได้ตัดไฟไม่ให้ชาร์ตตั้งแต่เมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์ตเต็มไปแล้ว แต่ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพให้การชาร์ตไฟเข้าลดลงไปเรื่อยๆ
4. อย่าทำงานที่อุณหภูมิสูงเกินไป ปกติระดับอุณหภูมิที่แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คจะทำงานได้ดีที่สุดคือระดับอุณหภูมิห้อง หรืออยู่ระหว่างช่วง 10 ถึง 35 องศาเซลเซียล ดังนั้นคุณจึงควรนั่งทำงานในห้องที่มีระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน จริงๆ แล้วคุณสามารถทำงานในห้องที่ร้อนหรือหนาวกว่านั้นได้ แต่ให้จำไว้ว่ายิ่งทำงานในห้องที่มีความร้อนสูงขึ้นเท่าไหร่ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ลดลงไปด้วยเป็นเงาตามตัว
5. อย่าทิ้งเครื่องไว้ในกระโปรงท้ายรถ หรือที่ที่ร้อนเกินไป ตามที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับผลกระทบของความร้อนสะสมกับแบตเตอรี่ ที่ถึงแม้จะมีความร้อนไม่สูงนัก แต่ก็ยังมีผลทำให้อายุการทำงานของแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นการทิ้งเครื่องไว้ในที่อุณหภูมิสูงกว่านั้นมาก เช่น ในกระโปรงท้านรถที่ทิ้งไว้กลางแดดติดต่อกันเป็นเวลานานก็ย่อมจะมีผลแต่อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อย่างรุ่นแรงเช่นเดียวกัน คุณจึงต้องคอยระมักระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยหลีกเลี่ยงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
6. ถ้าจะไม่ใช้เครื่องนานให้ชาร์ตไฟเก็บไว้อย่างน้อย 40% ถ้าคุณจำเป็นจะต้องทิ้งเครื่องไว้ไม่ใช้งานเป็นเวลานาน เป็นเวลาหลายเดือน เช่น การเดินทางไปต่างประเทศ หรือ ซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่มาใช้แทนตัวเก่า ขอแนะนำให้ชาร์ตทิ้งไว้ประมาณ 40-50% ก่อนที่คุณจะทิ้งเครื่องไว้โดยไม่ได้ใช้อีกนาน ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบของการขาดช่วงการชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ให้น้อยที่สุด และมีโอกาสชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ได้สำเร็จเมื่อคุณกลับมาใช้เครื่องอีกครั้ง
เทคนิคการยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่
1. เปิดใช้ฟังก์ชั่น Power Options บนระบบปฏิบัติการวินโดว์ คุณสามารถตั้งค่าการใช้ไฟจากแบตเตอรี่แบบต่างๆ ให้เหมาะสมได้ โดยให้คุณไปเปิดที่ Control Panel และดับเบิ้ลที่ไอคอนของ Power Options แล้วเลือกค่า Power schemes เป็นแบบ Portable/Laptop วินโดวน์ก็จะจัดการตั้งค่าการประหยัดไฟในแบบต่างๆ ตั้งแต่การตั้งเวลาการปิดหน้าจอ, การปิการทำงานของฮาร์ดดิสก์, การเข้าสู่สภาวะ standby และ hibernate โดยคุณสามารถปรับแต่งเวลาให้มากขึ้นหรือน้อยลงตามความต้องการของคุณได้
2. หรี่ความสว่างของจอ LCD หลายท่านคงจะยังไม่ทราบว่าจอ LCD บนโน๊ตบุ๊คเป็นส่วนหนึ่งที่กินไฟมากที่สุดในเครื่องโน๊ตบุ๊ค ดังนั้นการหรี่ความสว่างจอให้ต่ำลงจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการช่วยยืดชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่ โดยให้คุณพยายามปรับลงมาต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำงานได้ ซึ่งอาจจะช่วยให้คุณทำงานได้นานยิ่งขึ้นเป็นชั่วโมงเลยก็เป็นได้ ส่วนวิธีการปรับนั้น มีความแตกต่างกันไปตามรุ่นและยี่ห้อของโน้ตบุ๊คที่คุณใช้ ให้คุณลองศึกษาวิธีการปรับจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
3. ปรับลด Color Depth นอกจากการหรี่ความสว่างของจอแล้ว คุณยังสามารถประหยัดอัตราการใช้ไฟลงไปอีกระดับ ด้วยการปรับลด Color Depth หรือการลดมิติของสีที่แสดงบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของซีพียู อันจะมีผลทำให้ซีพียูกินไฟน้อยลงตามไปด้วย โดยให้คุณคลิกขวาที่หน้า Desktop แล้วเลือก Properties เพื่อเข้าหน้าต่าง Display Properties จากนั้นคลิกเลือกแท็ป Settings แล้วคลิกเลือกที่ Color quality จาก Highest(32 bit) เป็น Medium(16 bit)
4. ใช้ฟังก์ชัน hibernate การเข้าสู่สถานะ hibernate คือการปิดเครื่องแบบชั่วคราว โดยที่วินโดว์จะจัดการเก็บงานที่คุณกำลังทำอยู่ลงในฮาร์ดดิสก์ แล้วปิดการทำงานทั้งหมดของเครื่อง ขอแนะนำให้เปิดใช้งานฟังก์ชัน hibernate ทุกครั้งเมื่อคุณคุณคิดว่าจะหยุดใช้งานไปซักพักหนึ่ง หรือเมื่อต้องเคลื่อนยกย้ายเครื่องไปทำงานที่อื่นในระยะเวลาสั้นๆ เพราะนอกจากช่วยประหยัดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วยังช่วยให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้หากแบตเตอรี่ได้หนดไปจริงๆ ในภายหลัง ส่วนวิธีการเข้าสู่สถานะ hibernate ให้คุณศึกษาจากคู่มือที่มาพร้อมกับโน้ตบุ๊ค
5. ปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ อีกวิธีการที่จะช่วยยือชั่วโมงการทำงานของแบตเตอรี่คือการปิดการทำงานส่วนต่างๆ ที่คุรไม่ได้ใช้งาน ปิดการทำงานของ Wi-Fi และ Bluetooth ซึ่งกินไฟอยู่ตลอดถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้อยู่ก็ตาม นอกจากนี้คุณยังสามารถปิดการทำงานของ Modem, LAN รวมไปถึงซีดีไดร์ทได้ด้วย โดยให้คุณเข้าไปที่ System Properties โดยกดปุ่มรูปวินโดว์ค้างไว้แล้วกดปุ่ม Pause Break จากนั้นคลิกที่แท็ป Hardware แล้วคลิกที่การทำงานที่คุณไม่ได้ใช้ ซึ่งจะเปิดหน้าต่าง Properties ของการทำงานนั้นขึ้นมา ให้คุณเลือก Do not use this device(disable) จากช่อง Device usage เพื่อหยุดการทำงานในส่วนนั้นไป
6. ปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน การปิดโปรแกรมต่างๆ ที่คุณไม่ได้ใช้ และเลือกเพียงโปรแกรมที่คุณต้องการใช้จริงๆ เท่านั้น การทำงานเช่นนี้จะเป็นการลดการทำงานของซีพียูลง ซึ่งก็จะมีผลทำให้การกินไฟของซีพียูลดลงตามไปด้วย วิธีการปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณกดปุ่ม Ctrl, Alt และ Del พร้อมกัน เพื่อเปิดหน้าต่าง Windows Task Manager และคลิกที่แท็ป Processes คลิกเลือกโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการใช้แล้วคลิกปุ่ม End Process เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น