System Restore คืออะไร

System Restore คืออะไร

คือเครื่องมือของ Windows ตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับการย้อนเวลาก่อนที่ระบบ Windows จะเสียหาย หรือใช้งานไม่ได้ ซึ่งชื่อก็บอกแล้วว่า "System" Restore คือเป็นการย้อนเวลากลับมายังในตำแหน่งเดิมที่เรายังเคยใช้งาน Windows ได้ปกติ ซึ่งการทำงานของ System Restore จะทำการบันทึกจุดหรือตำแหน่งที่ Windows ที่ได้มีการสั่งบันทึกไว้ โดย Windows จะมีการกันพื้นที่ของ hard disk เก็บเอาไว้
วิธีตรวจสอบ System Restore ว่าทำงานหรือไม่

1. คลิกขวาที่ My Computer เลือก Properties
2. คลิกเลือกแท็ป System Restore
3. ดูหัวข้อ "Turn off System Restore on all drives" ถ้ามีการคลิกเลือก แสดงว่า System Restore ทำงานอยู่

วิธี ใช้งาน System Restore

1. คลิกปุ่ม Start เลือก All Programs
2. คลิกเลือก Accessories
3. คลิกเลือก System Tools
4. คลิกเลือก System Restore (ถ้าไม่เปิดใช้ จะไม่สามารถเข้าเมนูนี้ได้)
5. จะมี 2 หัวข้อให้เลือก คือ
* Restore my computer to an earlier time - ใช้สำหรับการย้อนเวลา
* Create a restore point - ใช้สำหรับการสำรองระบบ
6. เลือกหัวข้อ Create a restore point (เรากำลังบันทึก System)
7. คลิก Next และตั้งชื่ออะไรก็ได้ แต่เราควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับงาน หรือสิ่งที่เรากำลังจะทำต่อ
8. จากนั้นคลิกปุ่ม Create
9. รอสักครู่ ก็เป็นอันสำรองระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ถ้าต้องการ Restore ก็สามารถเลือกหัวข้อ Restore my computer to an earlier time แทนคำว่า Create a restore point เท่านั้นเอง

มี System Restore ดีหรือร้าย

ปัญหา อย่างหนึ่งที่พบจาก System Resotre คือ เรื่องของไวรัส ที่มักแอบแผงไปกับการสำรองระบบด้วย ทำให้เวลาเราแก้ไขปัญหา Windows จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาไวรัสให้หมดสิ้นได้ ดังนั้น คนไอทีส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ปิดระบบ System Restore นี้ด้วยเสมอ (คงต้องพิจารณากันเองน่ะครับว่า จะใช้หรือไม่ใช้ดี ส่วนผมขอปิดดีกว่า)

แฮคเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ IE โจมตี Google

ข่าวคราวแฮคเกอร์ในจีนโจมตีเว็บไซต์กูเกิ้ล (Google) และบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ ดูท่าจะไม่จบเอาง่ายๆ โดยเฉพาะประเด็นของนโยบายการกลั่นกรองเว็บไซต์ของจีนที่มีเงื่อนไขมากมาย ในขณะเดียวกันเป้าหมายของแฮคเกอร์คือ ต้องการเข้าไปล้วงความลับในอีเมล์ (Gmail) ของนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชน จนเลยเถิดไปยังบริษัทต่างๆ ที่โดนหางเลขเข้าไปด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ลุกลามจนในทีสุดกูเกิ้ลอาจตัดสินใจปิดการให้บริการในจีนก็ ได้

ประเด็นทางด้านเทคนิคทีแฮคเกอร์ใช้ในการโจมตีครั้งนี้ก็เป็นข่าวที่ต้อง ติดตามกันวันต่อวันเช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการระบุถึงช่องโหว่ใน โปรแกรม Adobe Reader และ Acrobat ที่ทำให้แฮคเกอร์สามารถแทรกโค้ดโทรจันเข้่าไปได้ ล่าสุดไมโครซอฟท์ (Microsoft) ออกมายอมรับว่า ช่องโหว่ใน IE 6, 7 และ 8 ก็ถูกแฮคเกอร์นำไปใช้ในการโจมตีครั้งนี้ด้วย

โดยข้อความในประกาศของ ไมโครซอฟท์ระบุว่า ทางบริษัทกำลังประสานงานกับทางกูเกิ้ล และพาร์ทเนอร์ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง เพื่ออุดช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ บุกรุกสามารถเข้าควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้ เพียงแค่เป้าหมายที่ตก เป็นเหยื่อคลิกบนลิงค์ในอีเมล์ หรือ IM เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลด และติดตั้งโค้ดอันตรายเข้าไปแล้ว มัลแวร์จะเปิดช่องทางให้ผู้บุกรุกสามารถควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ เพื่อทำการใดๆ ก็ได้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ไมโครซอฟท์ประกาศเรื่องนี้หลังจากที่มีการเปิดเผยโดยบริษัทแมคอาฟี่

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่รอแพตข์ ไมโครซอฟท์แนะนำให้ ผู้ใช้ Windows 7 และ Vista ตั้งค่าโหมดการทำงานเป็น "Protected mode" ด้วยการเปิดการทำงานของ Data Execution Prevention เพื่อลดความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยือของแฮคเกอร์ โดยให้ผู้ใช้ IE ตั้งค่า security zone สำหรับ Internet และ Intranet เป็น "high" ซึ่งจะมีการแสดงหน้าป๊อปอัพขึ้นมาแจ้งก่อนที่จะมีการรัน ActiveX control และ Active Scripting หรือจะปิด (disable) การทำงานของ Active Scripting ไปเลยก็ได้

อยากเปลี่ยนพาร์ทิชัน FAT32 เป็น NTFS จะทำอย่างไร

การรูปแบบพาร์ทิชันสามารถทำโดยง่าย เริ่มแรกการ convert กับตัววินโดวส์เอง
- โดยเริ่มการเรียกเมนู Run จาก Startup
- ใส่คำสัง CONVERT C: /FS:NTFS (C: เป็นไดรฟ์ที่ต้องการเปลี่ยน)
- จากนั้นกด Y เพื่อยืนยันการทำงาน


อีกวิธีอาจจะใช้โปรแกรมเข้ามาช่วยคือ PartitionMegic ก็ได้เป็น wizard ใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน

รู้จักกับไวรัส win32.crypt

สำหรับ win32.crypt เป็นส่วนหนึ่งของไวรัสที่เรียกกันว่าโทรจัน ซึ่งมีรูปแบบค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Trojan Downloader หรือ Trojan.win32.crypt ลักษณะการทำงานก็คือ จะเข้าไปติดตั้งตัวเองลงในระบบและเข้าไปเปลี่ยนไฟล์ System บางส่วน โดยเฉพาะไฟล์ส่วนตัวเช่นชื่อเครื่องและข้อมูลต่างๆ ส่งผลให้เปิดช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยได้ง่าย ทางแก้ไขทำได้ทั้งดาวน์โหลด Removable จากค่ายผู้พัฒนาแอนติไวรัสค่ายต่างๆ หรือจะเลือกลบไฟล์ TrojanDownload

HKEY_CURRENT_USER\software\microsoft\windows\currentversion\run\sysdpt และ HKEY_LOCAL_MACHINE\software\microsoft\windows\currentversion\run\sysdpt

กาแฟหกลง"โน้ตบุ๊ก"ทำไง?

ความจริงกับแค่การที่กาแฟหกรดลงไปบนคีย์บอร์ดของโน้ตบุ๊ก ไม่น่าจะถึงกับต้องซ่อมเครื่องเลยนะครับ อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครก็ตาม ผมมีคำแนะนำ หรือข้อปฎิบัติง่ายๆ มาฝาก เพราะการแก้ปัญหาอย่างทันท่วงทีจะทำให้โน้ตบุ๊กของคุณปลอดภัย และอาจจะไม่ต้องถึงมือหมอ(ช่างซ่อม)แต่อย่างใด


ขั้นแรกให้รีบปิดสวิทช์เครื่องทันที (ปกติจะใช้วิธีกดปุ่ม Power ค้างไว้ 4 วินาที) อย่าพยายามชัตดาวน์ เพราะมันช้าเกินไป จากนั้นถอดปลั๊กไฟ และปลอดแบตเตอรี่ รวมถึงอุปกร์ต่อพ่วงต่างๆ ออกมาให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้กาแฟ หรือของเหลวไหลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ให้คว่ำหน้าเครื่อง และพยายามให้กาแฟไหลออกมาจากคีย์ให้มากที่สุด (โน้ตบุ๊กบางรุ่นอย่าง ThinkPad ของ Lenono จะออกแบบให้ป้องกันน้ำ หรือของเหลวไหลเข้าไป พร้อมทั้งมีช่องทางคล้ายๆ กับรางน้ำให้ของเหลวไหลออกจากคีย์บอร์ดได้โดยง่ายอีกด้วย) ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดแล้วบีบหมาดๆ แล้วซับเบาๆ เพราะถ้าเป็นกาแฟที่มีนม และน้ำตาล หรือเป็นน้ำส้มด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องทำความสะอาดให้ได้มากที่สุด เพราะไม่งั้นมันจะเหนียวหนึบ คีย์บอร์ดของโน้ตบุ๊กบางรุ่นสามารถถอดปุ่มขึ้นมาได้ ยังไงก็ลองศึกษาดูจากคู่มือก่อนนะครับ
หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ปล่อยทิ้งไว้สัก 24 ชั่วโมง เพื่อให้มันแห้งสนิท อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เป็นการรับประกันได้ว่า โน้ตบุ๊กของคุณจะปลอดภัย 100% เสียทีเดียว แต่มันเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ เพราะโอกาสที่เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องยกไปซ่อมมีสูงถึง 90% เลยทีเดียว สำหรับผู้สนใจต้องการทราบขั้นตอนการแก้ปัญหานี้โดยละเอียดสามารถหาอ่านได้ใน WikiHow ครับ

ใช้โน้ตบุ๊กริมทะเลโอเคไหม?

หาดทราย สายลม และไอเกลือจากน้ำทะเลกับโน้ตบุ๊กของคุณ คงจะไปด้วยกันค่อนข้างลำบาก เพราะมันจะทำให้อุปกรณ์ และชิ้นส่วนภายในคอมพิวเตอร์มีปัญหา(สนิมจับ ช็อต หรือเสื่อมสภาพ) ได้ในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ แสงแดดยังจะทำให้โน้ตบุ๊กของคุณร้อนมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าคุณอยากทำงานในสภาพแวดล้อมที่ว่าจริงๆ อาจจะต้องมีการเตรียมการมากมายพอสมควร

อย่างเช่น หาอะไรมาปิดทุกพอร์ต เพื่อป้องกันไอเกลือ น้ำทะเล หรือทรายกระเด็นเข้าไป ส่วนคีย์บอร์ดก็ควรจะหาพลาสติกบางๆ หรือซิลิโคน (ยางแผ่น) มาปิดไว้ป้องกันสิ่งต่างๆ เข้าไป แต่ยังสามารถกดปุ่มพิมพ์ได้ ซึ่งมีขายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์เสริมการใช้งานทั่วไป นอกจากนี้ื หน้าจอโน้ตบุ๊กที่ต้องเจอกับแสดงอาทิตย์ ซึ่งไม่มีอะไรช่วยได้ นอกจากหาอุปกรณ์เสริมอย่าง Lapdome เต็นท์ บังแดดสำหรับโน้ตบุ๊ก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเห็นหน้าจอได้อย่างแน่นอน
จะว่าไปวิธีแก้ปัญหาข้างต้นก็ดูจะขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไปนะครับ ดีที่สุดแนะนำให้คุณทิ้งโน้ตบุ๊กไว้ในที่พัก (หรือไว้ที่บ้านเถอะ อย่าเอาไปเลย) จะดีกว่า ตอนกลับมาพักที่้บ้านค่อยเช็คเมล์ หรือ hi5 โดยคอนเน็คกับมือถือน่าจะเป็นคำตอบที่ง่ายกว่านำมันไปที่ชายหาดเยอะเลยล่ะ ครับ

ดูแลแบตฯให้ใช้ได้นานๆ

ผู้ใช้โน้ตบุ๊กเรื่องส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจกับ "แบตเตอรี่" น้อยกมาก ยกเว้นเวลาทีมีข่าวว่า มันร้อนจนลุกไหม้ หรือมีประกาศเรียกคืน ถึงจะตื่นเต้นให้ความสนใจพวกมันทีหนึ่ง อย่างมากก็อาจจะตั้งค่าการใช้พลังงานของแบตฯ (นึกแล้วน่าน้อยใจเหมือนกันนะเนี่ย) แต่สำหรับ Battery Care ฟรีแวร์เล็กๆ ตัวนี้จะช่วยดูแลสุขภาพของแบตเตอรี่ให้แทนคุณได้

Battery Care จะให้ความสนใจห่วงใยแบตเตอรี่ในโน้ตบุ๊กของคุณมากเป็นพิเศษ โดยมันสามารถตอบคำถามในสิ่งทีคุณนึกไม่ถึง ตัวโปรแกรมจะคอยตรวจสอบรอบเวลาที่ใช้ในการชาร์จ และดิสชาร์จแบตเตอรี่ตลอดเวลา ก่อนที่จะใช้อัลกอริธีมในการประเมินจากข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้ว่า ถึงเวลาหรือยัง? ที่คุณควรจะดิสชาร์จแบตฯให้้หมดโดยสมบูรณ์สักที ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยยืดอายุ หรือลดอาการเสื่อมของแบตฯได้

และเนื่องจากโปรแกรมสามารถเรียนรู้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ ทำให้มันคำนวณเวลาที่เหลือสำหรับการใช้งานต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังแสดงพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ ตลอดจนยี่้ห้อผู้ผลิตให้ทราบได้อีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมสามารถช่วยปรับแต่งค่าการใช้พลังงานของระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Aero graphic ของ Vista และบริการอื่นๆ ที่กินไฟมากๆ ซึ่งสามารถใช้แทนยูทิลิตี้ Power Management ได้ อ้อ...โปรแกรมสามารถแสดงผลอุณหภูมิของ CPU ได้อีกด้วย

อยากซื้อ UPS ไว้ใช้สักตัว?

เนื่องจากหน้าที่หลักของ UPS ก็คือ การทำให้คอมพิวเตอร์ และอุปกรณณ์ต่อพ่วงต่างๆ (จอภาพที่กำลังแสดงผล เครื่องพิมพ์ที่กำลังพิมพ์ ฯลฯ) สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องไม่มีอาการสะดุด แม้จะมีปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง (ไฟตก ไฟเกิน หรือไฟดับไปเลย) ก็ตาม การเลือกซื้อ UPS ที่ราคาอย่างเดียว บอกได้คำเดียวว่า ผลเสียที่ตามมาไม่คุ้มเลยแม้แต่นิดเดียว


สำหรับการพิจารณาเลือกซื้อ UPS ในขั้นต้นนั้น คงต้องเลือกดูจากคุณสมบัติการทำงานของเครื่องเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม คำแนะนำ 5 ข้อต่อไปนี้ น่าจะช่วยให้คุณสามารถรวบรวมสเป็กของแต่ละรุ่นมาเปรียบเทียบกับความต้องการ ของตัวคุณเองได้ 5 ข้อทีว่านี้มีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยครับ

1. Power capacity กำลังความสามารถในการสำรองไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ คุณจะต้องจดกำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ทุกตัว (หน่วยเป็น Watts) ที่เสียบปลั๊กใช้งานตลอดเวลา จากนั้นนำไปคำนวณเป็น VA ซึ่งเป็นขนาดของ UPS โดยใส่ค่ากำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ที่คำนวณได้เข้าไปในช่องของเครื่องคิด เลขข้างล่างนี้ (ตัวอย่าง แรงดันไฟบ้าน 220 โวลต์ กำลังไฟรวม 300 Watts คลิกปุ่ม Calculate แล้วต้องใช้ UPS ประมาณ 500VA เป็นต้น)
2. Outlet Capacity จำนวนเต้าเสียบ ซึ่งต้องมีจำนวนมากพอกับปลั๊กทั้งหมดที่จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ อย่าใช้ปลั๊กพ่วงกับยูพีเอสด้วยหวังว่าจะช่วยให้คุณได้ใช้งาน UPS กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น นอกจากนี้ควรเลือกที่มีระบบป้องกันไฟกระชากด้วย (UPS ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้ว แต่เพื่อความแน่ใจควรตรวจสอบจากสเป็ก หรือทางผู้ค้าด้วย)
3. Dataline Protection แม้คอมพิวเตอร์ของคุณจะต่อกับยูพีเอส แต่สายสัญญาณ DSL (สายโทรศัพท์) หรือสายสื่อสารอื่นๆ ไม่ได้รับการป้องกัน มันก็เปล่าประโยชน์หากมีแรงดันไฟกระชากที่สูงมากวิ่งเข้ามาทางสายข้อมูลพุ่ง ตรงเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ ดังนั้นยูพีเอสที่เลือกซื้อควรจะมีช่องต่อสายสัญญาณโทรศัพท์ (dial-up และ broadband) ด้วย เพื่อความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ
4. Bundled Software ยูพีเอสส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่ช่วยรายงานสถานะ การทำงานของเครื่อง ไม่ว่าเป็นปริมาณไฟที่อยู่ในแบตเตอรี่ ตลอดจนโหลดที่ต่ออยู่กับเครื่องใช้พลังงานกี่เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้อง คุณอาจจะปลดโหลดบางตัว เพื่อให้เหลือไฟฟ้าสำรองใช้ได้นานขึ้น โดยพิจารณาจากรายงานของซอฟต์แวร์
5. Alarm capabilities ระบบการเตือนของยูพีเอสที่สามารถแจ้งเตือนให้คุณทราบ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ได้ เช่น ไฟแบตเตอรี่อ่อนมาก การทำงานของยูพีเอสขัดข้อง (หรือระบบมีปัญหา) เป็นต้น นอกจากเตือนด้วยเสียง และสัญญาณ LED บนตัวเครื่องแล้ว ยูพีเอสบางรุ่นสามารถแจ้งให้ซอฟต์แวร์จัดการเตือนผ่านอี เมล์ไปให้คุณทราบได้อีกด้วย

นอกจากคุณสมบัติหลักๆ ที่นำมาพิจารณาในการเลือกซื้อยูพีเอสข้างต้นแล้ว ประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ ที่น่าจะนำมาพิจารณาด้วยก็จะมีเรื่องของระบบเตือน"แบตเตอรี่เสื่อม" ด้วย LED เพื่อให้ทราบได้ว่า ถึงเวลาเปลี่ยนแบตฯชุดใหม่แล้ว นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของระยะประกัน เป็นต้น หวังว่า คำแนะนำเบื้องต้นเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ

Firefox: เร่งสปีด"เลื่อนหน้าจอ"กันดีกว่า

ว่างเว้นกันไปนานสำหรับการนำเสนอทิปเทคนิคการใช้ Firefox ยิ่งช่วงหลังดูเหมือนคะแนนนิยมจะตกลงไป ปล่อยให้ Chrome ที่เร่งอัพเกรดเวอร์ชันไม่หยุดหย่อนช่วงชิงส่วนแบ่งไปได้ ส่วนพี่เบิ้ม IE8 มีข่าวดีให้ได้ยินมาบ้าง เนื่องจากเว็บไซต์ทั่วโลกกว่า 90% แสดงผลบนบราวเซอร์ตัวนี้ได้อย่างถูกต้อง สมรภูมิบราวเซอร์ยังคงมีให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้เรามาติดตามเกาเหลาทิปกันก่อนดีกว่าครับ

สำหรับทิป Firefox ที่นำมาฝากคุณผู้อ่านในวันนี้ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ใจร้อน ต้องการเลื่อหน้าจอเว็บให้เร็วขึ้นๆ กว่าเดิม ซึ่ง Firefox เข้าใจความต้องการตรงจุดนี้ของผู้ใช้ ว่าแล้วก็เลยเปิดช่องให้ปรับแต่งได้เหมือนเช่นเคย โดยขั้นตอนการปรับแต่งเพื่อเร่งเครื่องการทำงานของ Scroll หรือการเลื่อหน้าจอด้วยสกอลบ๊อกซ์ หรือลูกกลิ้งบนตัวเมาส์ มีดังนี้

1. พิมพ์ คำสั่ง about:config ในแอดเดรสบาร์ของ Firefox
2. ใน ช่อง Filter: พิมพ์ mousewheel.acceleration.start เมื่อพบดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้
3. กำหนดค่าเริ่มต้นเป็น 3 สำหรับค่าความเร่งของการเลื่อนเมาส์
4. มองหารายการ mousewheel.acceleration.factor แล้วดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้
5. กำหนด ค่าให้เป็น 5 เพื่อบอกจำนวนเท่าของความเร็วที่ต้องการ